รีวิว Dell XPS 13 (2018) อัลตร้าบุ๊คจอพรีเมียม ที่ราคาก็พรีเมียมด้วย

by nismod
12 March 2018 - 05:13

นับตั้งแต่การเปิดตัว XPS รุ่นหน้าจอเกือบไร้ขอบในปี 2015 ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ XPS ทาง Dell ก็แทบคงดีไซน์หลักเอาไว้ตลอดและปรับปรุงย่อยเป็นหลัก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของรุ่นปี 2018 นี้ถึงแม้จะยังคงไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ก็ค่อนข้างเห็นได้ชัดจากทั้งดีไซน์และสีใหม่ ไปจนถึงพอร์ทที่เปลี่ยนเป็น USB-C ทั้งหมด

Dell XPS 13 รุ่นปีนี้จะใช้รหัสรุ่น 9370 โดยรุ่นที่ถูกนำเข้ามาขายในไทยมี 3 รุ่นย่อย จากทั้งหมด 4 รุ่น และรุ่นที่ Dell ประเทศไทยไม่ได้เอาเข้ามาขายคือรุ่นล่างสุดที่ใช้ Core i5-8250U แรม 4GB SSD 128GB

ส่วนรุ่นที่ Blognone ได้รับมารีวิวเป็นรุ่นท็อป ใช้ซีพียู i7-8550U แรม16GB SSD 512GB หน้าจอทัชสกรีนความละเอียด 4K UHD (3840 x 2160) ส่วนสีที่ได้มาเป็นสีดำ ฝาหลัง Platinum

ดีไซน์และตัวเครื่อง

ดีไซน์ภายนอกหากมองผ่านๆ แทบจะไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก ฝาหลังยังคงเป็นอะลูมิเนียม ซึ่งโทนสี Platinum ค่อนข้างคล้ายคลึงกับสีของ MacBook Air / MacBook Pro รุ่นเก่า ให้ความรู้สึกค่อนข้างพรีเมียม

ด้านข้างของตัวเครื่องเป็นจุดที่แตกต่างจากรุ่นเก่า คือถูกออกแบบใหม่ให้มีความบางมากขึ้น แต่ยังคงทรงลิ่มไว้เช่นเดิม ส่วนปัจจัยที่ทำให้เครื่องสามารถบางลงได้ก็มาจากพอร์ทด้านข้างที่เปลี่ยนเป็น USB-C ทั้งหมด และทุกพอร์ทรองรับการชาร์จไฟ โดยด้านซ้ายเป็น Thunderbolt 3 สองพอร์ท ส่วนด้านขวาเป็น 3.5 มม., USB 3.1 และ microSD

ด้านท้องเครื่องยังคงดีไซน์แบบเดิม มีรูระบาดอากาศให้ด้วย (ไม่รวมช่องระบายอากาศที่บริเวณข้อพับหน้าจอ)

ด้านในตัวเครื่องในส่วนของสีดำนั้นยังคงใช้วัสดุเดิมคือคาร์บอนไฟเบอร์ ป้องกันรอยขีดข่วน (วัสดุใหม่จะเป็นรุ่นสีขาวที่ชื่อ crystalline silica ซึ่ง Dell ระบุว่าของขาด ดีมานด์ทั่วโลกสูงกว่าซัพพลาย ไม่รู้ของจะเข้าไทยเมื่อไหร่) เช่นเดียวกับคีย์บอร์ดที่เป็นแบบ chiclet ฟูลไซส์ มาพร้อมไฟ backlit ปรับได้สองระดับ

ทัชแพดเป็น Precision Touchpad ปัญหาคือขนาดของทัชแพดที่ส่วนตัวรู้สึกว่าค่อนข้างเล็กไป ทำให้พื้นที่ในการกดและลากไม่เพียงพอ

กล้องเว็บแคมถูกย้ายเอามาไว้ด้านล่างตรงกลาง จากเดิมที่อยู่มุมซ้ายล่าง ทำให้ถึงแม้มุมจะยังคงเป็นมุมเงย แต่ยังเงยในองศาที่พอเหมาะและดูเป็นธรรมชาติมากกว่าอยู่มุมซ้ายเช่นเดิม ที่สำคัญคือรองรับ Windows Hello ด้วย

หน้าจอ Infinity Display

หนึ่งในปัญหาและความรู้สึกไม่เข้าใจส่วนตัวเมื่อใช้งานแล็บท็อปที่ไม่ใช่ 2-in-1 หรือพับได้ 180 องศาแต่มาพร้อมฟีเจอร์ทัชสกรีนคือจะมีมาให้ทำไม ถึงแม้ Windows 10 จะถูกออกแบบมาให้รองรับทัชสกรีน แต่ด้วย XPS เครื่องนี้พับไม่ได้ ก็แทบจะหา use case ของทัชสกรีนเลย

ส่วนหน้าจอ Infinity Display ความละเอียด 4K ยังคงเป็นจุดเด่นของ XPS 13 เช่นเดิม ภาพคม สดใส สามารถสู้จอ Retina Display บน MacBook Pro ได้อย่างไม่เขินเลย ดู Netflix ที่รองรับ HDR ได้เต็มๆ ที่สำคัญคือสามารถสู้แสงแดดได้ดี เล่นกลางแจ้งก็ยังเห็นหน้าจออยู่

การใช้งานและแบตเตอรี่

ปัญหาเดียวที่พบเจอจาก Dell XPS 13 เครื่องนี้คือพอร์ทที่เป็น USB-C ทั้งหมด โดย Dell แถมมาให้แค่สายแปลง USB-C to USB-A อันเดียว ทำให้หากไม่ได้ใช้ MacBook หรือมีพอร์ทแปลงอยู่แล้วต้องเสียเงินหาเพิ่มเติม

ส่วนแบตเตอรี่จากที่ทดลองใช้มา อยู่ที่ราวๆ 10 ชั่วโมง ใกล้เคียงกับที่ Dell เคลมเอาไว้ตอนเปิดตัว แต่ก็ขึ้นอยู่กับความสว่างของหน้าจอที่เป็นปัจจัยสำคัญในการกินแบตเตอรี่ หากลดความสว่างลงก็ช่วยเพิ่มชั่วโมงการใช้งานได้ระดับหนึ่ง

สรุป

ถือว่ายังคงระดับการเป็นอัลตร้าบุ๊คสายวินโดวส์ ที่เน้นความสวยงามของหน้าจอและการออกแบบไว้เอาเช่นเดิม อย่างไรก็ตามปัญหาของ Dell XPS 13 (2018) คือพอร์ท USB-C และราคาที่ค่อนข้างสูง โดยรุ่นต่ำสุดก็ปาเข้าไป 59,990 บาท แล้ว ขณะที่รุ่นท็อปที่ผมรีวิวราคาอยู่ที่ 79,990 บาท ซึ่งราคาอาจเป็นปัจจัยสุดท้ายที่ทำให้หลายๆ คนลังเลก็ได้

ข้อดี

  • หน้าจอ Infinity Edge ยังคงเป็นไม้ตายของ XPS ทั้งความละเอียด สวยงาม สีสันสดใส
  • งานประกอบสวยงาม หรูหรา พรีเมียมเป็นอัลตร้าบุ๊คที่โชว์ได้

ข้อเสีย

  • พอร์ท USB-C หากจะซื้อมาใช้ เตรียมเงินซื้อพอร์ทแปลง
  • ทัชแพ็ดเล็กเกินไป (ปัญหาส่วนตัว)
  • ราคาที่ค่อนข้างสูง แถม Dell ประเทศไทยไม่เอารุ่นล่างสุดมาขาย
Blognone Jobs Premium