เปิดตัวได้ค่อนข้างเงียบกับ Galaxy S9 | S9+ ที่แทบไม่มีอะไรโดดเด่นหรือเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นก่อนหน้ามากนัก หลักๆ มีเพียงกล้องที่ปรับรูรับแสงได้และลูกเล่น AR Emoji ที่ไม่พ้นโดนแซะไปตามระเบียบ
ส่วนเครื่องที่ผมจะรีวิวเป็นตัวท็อป Galaxy S9+ ที่ฮาร์ดแวร์และฟีเจอร์ต่างๆ ไม่แตกต่างจาก Galaxy S9 นอกจากเรื่องกล้องที่เป็นกล้องคู่ ซึ่งรีวิวนี้จะเน้นไปที่ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเติมจากรุ่นเก่าเป็นหลักครับ
รูปลักษณ์ภายนอกของ Galaxy S9 | S9+ แทบไม่แตกต่างจาก S8 | S8+ มากนัก
หน้าจอยังคงเป็น Infinity Display ความละเอียด QHD+ sAMOLED สีสันสดใส สู้แดดได้ดีเหมือนเคย โดย S9 ขนาด 5.8 นิ้วและ S9+ อยู่ที่ 6.2 นิ้ว
วัสดุของตัวเครื่องด้านหลังยังคงเป็นกระจกเช่นเดิม ซึ่งถ้าไม่ใส่เคสเป็นรอยมันและคราบง่ายมาก ขณะที่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือขยับจากด้านข้างกล้องมาอยู่ด้านล่างแล้ว ทำให้การวางนิ้วเพื่อสแกนง่ายและสะดวกกว่าเดิมมาก
อย่างไรก็ตามด้วยความที่วัสดุของเซ็นเซอร์เป็นเนื้อเดียวกับฝาหลัง ทำให้การสแกนมีปัญหาอยู่บ้างถ้าพื้นผิวเซ็นเซอร์เป็นรอยนิ้วมือหรือคราบมัน ขณะที่ความเร็วในการสแกนรู้สึกถึงความดีเลย์ในระดับมิลลิวินาที (เทียบกับ Pixel 2 ที่ใช้อยู่ที่วางนิ้วปุ๊บขึ้นปั๊บ)
ความดีงามเล็กๆ ของ S9 | S9+ คือพอร์ทหูฟัง 3.5 มม. ยังอยู่โดยซัมซุงแถมหูฟัง AKG มาให้ในกล่องด้วย ส่วนลำโพงเป็นลำโพงคู่ ข้าง USB-C และด้านบนของหน้าจอ
ด้านซ้ายเป็นปุ่มปรับเสียง (คนใช้มือขวาลำบากเอาเรื่อง) และปุ่ม Bixby
ด้านขวาเป็นปุ่ม Power/ล็อกหน้าจอ
ถาดใส่ซิมอยู่ด้านบน
ของใหม่ใน S9 | S9+ ที่เอามารับมือกับ Face ID โดยเฉพาะคือ Intelligent Scan เป็นการผสานเทคโนโลยีสองตัวคือ Iris Scanner สแกนม่านตาร่วมกับ Face Recognition โดยการทำงานของ Intelligent Scan คือจะสแกนใบหน้าแบบ 2 มิติ (เหมือนใน S8) ก่อน หากไม่สำเร็จจึงจะสแกนม่านตา หากยังไม่สำเร็จอีก จะสแกนทั้งสองอย่างพร้อมกัน ทำให้ในหลายๆ กรณีโดยเฉพาะในที่แสงน้อย Intelligent Scan จะช้ามาก
และเช่นเดิมเหมือน S8 ซัมซุงบอกว่า Intelligent Scan เอาไว้ใช้ปลดล็อคเครื่องเท่านั้น ไม่สามารถใช้ยืนยันตัวตนด้านความปลอดภัยอย่างการใช้ Samsung Pay หรือ Secure Folder ได้
ความดีงามหลักๆ ของ S9+ คือกล้องคู่หลังที่สามารถปรับรูรับแสงได้เอง (f/1.5 และ f/2.4) โดยโหมดออโต้จะปรับค่ารูรับแสงให้อัตโนมัติ ทำให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยคือไม้เด็ดของ S9+ เครื่องนี้เลยถึงขนาด DxOMark ให้คะแนนเป็นอันดับ 1
เทียบภาพนิ่งในที่แสงน้อยมากๆ กับ Pixel 2 เห็นชัดว่า S9+ สว่างกว่าด้วย f/1.5 แต่ภาพรวมออกมา Pixel 2 ดูดีกว่า
ส่วนการถ่ายภาพเวลากลางวันก็ดีงามตามท้องเรื่อง ภาพคม สีฉูดฉาด
ด้าน Live Focus ที่ใช้ซอฟต์แวร์ละลายหลัง ยังคงไม่ต่างจากเดิม เรื่องการแยกแยะบริเวณปลายของวัตถุ อาทิ ใบไม้ที่สีคล้ายๆ กันซ้อนกันหรือปลายผม
สำหรับ AR Emoji นั้นจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกกล้องหน้า ตอนสร้าง Emoji จะต้องถ่ายภาพหน้าตัวเอง แล้วเลือกเพศ เลือกเสื้อผ้าหน้าผมที่ต้องการ ก่อนที่ซอฟต์แวร์จะประมวลผลเอาไปทำเป็นหน้าตัวตุ๊กตาให้ พร้อมไฟล์ภาพ GIF มาให้จำนวนหนึ่ง ขณะที่การเล่นกับ AR ส่วนตัวรู้สึกว่ายังฝืนๆ ไม่ลื่นและเนียนเหมือนกับใน iPhone X ทำให้ที่พอเล่นได้หลักๆ มีแค่ GIF ที่ซอฟต์แวร์ทำมาให้มากกว่า
ตอนสร้าง AR Emoji
ตัวอย่างไฟล์ GIF
Galaxy S9+ ให้แบตเตอรี่มา 3,500 mAh สามารถใช้งานทั้งวันแถมเล่นเกมประปรายได้สบาย โดยโหมดประหยัดพลังงานของซัมซุงค่อนข้างมีประโยชน์มาก ในการช่วยลดการทำงานเบื้องหลังหลายๆ อย่างเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ลงแต่แทบไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานโดยรวม
เมื่อจุดเด่นหลักๆ ของ Galaxy S9 และ S9+ คือกล้อง ทำให้เหตุผลในการอัพเกรดจาก Galaxy S8 และ S8+ น้อยมากจนถึงไม่มีเลย แต่ถ้าไม่เคยใช้ซัมซุง หรือใช้รุ่นที่เก่ากว่า S8 หรือรุ่นล่างกว่า Galaxy S9 และ S9+ ก็พอจะดูเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
ข้อดี
ข้อเสีย