รีวิว Galaxy S9+ กับความดีงามของกล้องและไมเนอร์เชนจ์จาก Galaxy S8

by nismod
14 March 2018 - 08:37

เปิดตัวได้ค่อนข้างเงียบกับ Galaxy S9 | S9+ ที่แทบไม่มีอะไรโดดเด่นหรือเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นก่อนหน้ามากนัก หลักๆ มีเพียงกล้องที่ปรับรูรับแสงได้และลูกเล่น AR Emoji ที่ไม่พ้นโดนแซะไปตามระเบียบ

ส่วนเครื่องที่ผมจะรีวิวเป็นตัวท็อป Galaxy S9+ ที่ฮาร์ดแวร์และฟีเจอร์ต่างๆ ไม่แตกต่างจาก Galaxy S9 นอกจากเรื่องกล้องที่เป็นกล้องคู่ ซึ่งรีวิวนี้จะเน้นไปที่ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเติมจากรุ่นเก่าเป็นหลักครับ

ตัวเครื่องที่เป็น Minor Change

รูปลักษณ์ภายนอกของ Galaxy S9 | S9+ แทบไม่แตกต่างจาก S8 | S8+ มากนัก

ซ้าย S9 ขวา S8

หน้าจอยังคงเป็น Infinity Display ความละเอียด QHD+ sAMOLED สีสันสดใส สู้แดดได้ดีเหมือนเคย โดย S9 ขนาด 5.8 นิ้วและ S9+ อยู่ที่ 6.2 นิ้ว

วัสดุของตัวเครื่องด้านหลังยังคงเป็นกระจกเช่นเดิม ซึ่งถ้าไม่ใส่เคสเป็นรอยมันและคราบง่ายมาก ขณะที่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือขยับจากด้านข้างกล้องมาอยู่ด้านล่างแล้ว ทำให้การวางนิ้วเพื่อสแกนง่ายและสะดวกกว่าเดิมมาก

อย่างไรก็ตามด้วยความที่วัสดุของเซ็นเซอร์เป็นเนื้อเดียวกับฝาหลัง ทำให้การสแกนมีปัญหาอยู่บ้างถ้าพื้นผิวเซ็นเซอร์เป็นรอยนิ้วมือหรือคราบมัน ขณะที่ความเร็วในการสแกนรู้สึกถึงความดีเลย์ในระดับมิลลิวินาที (เทียบกับ Pixel 2 ที่ใช้อยู่ที่วางนิ้วปุ๊บขึ้นปั๊บ)

ความดีงามเล็กๆ ของ S9 | S9+ คือพอร์ทหูฟัง 3.5 มม. ยังอยู่โดยซัมซุงแถมหูฟัง AKG มาให้ในกล่องด้วย ส่วนลำโพงเป็นลำโพงคู่ ข้าง USB-C และด้านบนของหน้าจอ

ด้านซ้ายเป็นปุ่มปรับเสียง (คนใช้มือขวาลำบากเอาเรื่อง) และปุ่ม Bixby

ด้านขวาเป็นปุ่ม Power/ล็อกหน้าจอ

ถาดใส่ซิมอยู่ด้านบน

Intelligent Scan เหล้าเก่าในขวดใหม่ ไม่ได้ปลอดภัยมากขึ้น

ของใหม่ใน S9 | S9+ ที่เอามารับมือกับ Face ID โดยเฉพาะคือ Intelligent Scan เป็นการผสานเทคโนโลยีสองตัวคือ Iris Scanner สแกนม่านตาร่วมกับ Face Recognition โดยการทำงานของ Intelligent Scan คือจะสแกนใบหน้าแบบ 2 มิติ (เหมือนใน S8) ก่อน หากไม่สำเร็จจึงจะสแกนม่านตา หากยังไม่สำเร็จอีก จะสแกนทั้งสองอย่างพร้อมกัน ทำให้ในหลายๆ กรณีโดยเฉพาะในที่แสงน้อย Intelligent Scan จะช้ามาก

และเช่นเดิมเหมือน S8 ซัมซุงบอกว่า Intelligent Scan เอาไว้ใช้ปลดล็อคเครื่องเท่านั้น ไม่สามารถใช้ยืนยันตัวตนด้านความปลอดภัยอย่างการใช้ Samsung Pay หรือ Secure Folder ได้

กล้องและ AR Emoji

ความดีงามหลักๆ ของ S9+ คือกล้องคู่หลังที่สามารถปรับรูรับแสงได้เอง (f/1.5 และ f/2.4) โดยโหมดออโต้จะปรับค่ารูรับแสงให้อัตโนมัติ ทำให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยคือไม้เด็ดของ S9+ เครื่องนี้เลยถึงขนาด DxOMark ให้คะแนนเป็นอันดับ 1

เทียบภาพนิ่งในที่แสงน้อยมากๆ กับ Pixel 2 เห็นชัดว่า S9+ สว่างกว่าด้วย f/1.5 แต่ภาพรวมออกมา Pixel 2 ดูดีกว่า

S9+

Pixel 2

ส่วนการถ่ายภาพเวลากลางวันก็ดีงามตามท้องเรื่อง ภาพคม สีฉูดฉาด

ด้าน Live Focus ที่ใช้ซอฟต์แวร์ละลายหลัง ยังคงไม่ต่างจากเดิม เรื่องการแยกแยะบริเวณปลายของวัตถุ อาทิ ใบไม้ที่สีคล้ายๆ กันซ้อนกันหรือปลายผม

สำหรับ AR Emoji นั้นจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกกล้องหน้า ตอนสร้าง Emoji จะต้องถ่ายภาพหน้าตัวเอง แล้วเลือกเพศ เลือกเสื้อผ้าหน้าผมที่ต้องการ ก่อนที่ซอฟต์แวร์จะประมวลผลเอาไปทำเป็นหน้าตัวตุ๊กตาให้ พร้อมไฟล์ภาพ GIF มาให้จำนวนหนึ่ง ขณะที่การเล่นกับ AR ส่วนตัวรู้สึกว่ายังฝืนๆ ไม่ลื่นและเนียนเหมือนกับใน iPhone X ทำให้ที่พอเล่นได้หลักๆ มีแค่ GIF ที่ซอฟต์แวร์ทำมาให้มากกว่า

ตอนสร้าง AR Emoji

ตัวอย่างไฟล์ GIF

แบตเตอรี่

Galaxy S9+ ให้แบตเตอรี่มา 3,500 mAh สามารถใช้งานทั้งวันแถมเล่นเกมประปรายได้สบาย โดยโหมดประหยัดพลังงานของซัมซุงค่อนข้างมีประโยชน์มาก ในการช่วยลดการทำงานเบื้องหลังหลายๆ อย่างเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ลงแต่แทบไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานโดยรวม

สรุป

เมื่อจุดเด่นหลักๆ ของ Galaxy S9 และ S9+ คือกล้อง ทำให้เหตุผลในการอัพเกรดจาก Galaxy S8 และ S8+ น้อยมากจนถึงไม่มีเลย แต่ถ้าไม่เคยใช้ซัมซุง หรือใช้รุ่นที่เก่ากว่า S8 หรือรุ่นล่างกว่า Galaxy S9 และ S9+ ก็พอจะดูเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

ข้อดี

  • หน้าจอสีสวย คมชัด สู้แดดได้ดี
  • กล้องหน้าและหลัง ถ่ายชัดและสวยทั้งกลางวันกลางคืน
  • เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือย้ายมาในตำแหน่งที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น
  • สี Lilac Purple สวยมาก (ส่วนตัว)

ข้อเสีย

  • Intelligent Scan ไม่ได้ปลอดภัยมากไปกว่าการใช้ Iris Scanner หรือการสแกนหน้าอย่างเดียว
  • เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเป็นพื้นกระจก เป็นรอยมันง่าย ส่งผลให้สแกนติดบ้างไม่ติดบ้าง ต้องเช็ดอยู่เนืองๆ
  • ใช้อวดไม่ได้ คนไม่รู้ว่าเราถือ S9 | S9+ อยู่ เพราะมันเหมือน S8
Blognone Jobs Premium