จากเหตุการณ์ รถยนต์ไร้คนขับของ Uber ชนคนเดินเท้าเสียชีวิตรายแรก ส่งผลให้คู่แข่งร่วมวงการหลายรายต่างระงับการทดสอบรถยนต์ไร้คนขับชั่วคราว
แต่อินเทลที่เพิ่งซื้อกิจการ Mobileye บริษัทพัฒนาชิพสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติกลับสวนกระแส ด้วยการนำฟุตเตจวิดีโอจากกล้องของรถ Uber มาวิเคราะห์ และบอกว่าระบบของ Mobileye สามารถป้องกันการชนเคสนี้ได้ แม้ใช้เฉพาะภาพจากกล้องวิดีโอเท่านั้น
Amnon Shashua ซีอีโอของ Mobileye เขียนอธิบายลงบล็อกของอินเทล ว่า Mobileye เป็นผู้พัฒนาระบบช่วยขับขี่ (advanced driver assistance systems - ADAS) ให้กับรถยนต์หลายเจ้าในท้องตลาด และทุกวันนี้มีรถยนต์จำนวนมากใช้งานอยู่
Shashua บอกว่าสิ่งสำคัญของระบบ ADAS คือเรื่อง redundancy โดยรถยนต์มีแหล่งข้อมูลหลักในการมองเห็นอยู่ 3 ทางคือ กล้อง, เรดาร์, LIDAR ซึ่งการใช้แหล่งข้อมูลทั้ง 3 ประกอบกันจะช่วยให้ขับขี่ได้ดีขึ้น แต่การพึ่งพาแหล่งข้อมูลทั้ง 3 พร้อมกันจะมีผลต่อความปลอดภัยทันที เพราะหากข้อมูลบางแหล่งหายไปจะทำให้ระบบความปลอดภัยทำงานได้ไม่เต็มที่ ดังนั้น Mobileye จึงออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยจากกล้อง และจากเรดาร์+LIDAR ให้แยกขาดจากกัน ต่อให้ระบบใดระบบหนึ่งพังไป อีกระบบยังสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อเกิดเหตุของ Uber ขึ้น ทีมงาน Mobileye จึงนำฟุตเตจวิดีโอที่ตำรวจเผยแพร่ออกมา มาทดสอบกับระบบของตัวเอง โดยถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ข้อมูลไม่สมบูรณ์ แต่ระบบของ Mobileye ก็ยังทำงานได้ถูกต้อง และสามารถตรวจจับคนเดินข้ามถนนได้ก่อนชนเป็นเวลาประมาณ 1 วินาที
จากภาพจะเห็นผลการตรวจพบวัตถุของระบบที่ใช้อัลกอริทึมต่างกันไป ภาพแรกคือ pattern recognition ตรวจสอบรูปแบบของวัตถุว่าเป็นมนุษย์ ภาพที่สองคือการตรวจสอบ free-space โดยมีเส้นสีแดงระบุตำแหน่งของคนเดินถนน ส่วนภาพที่สามเป็นการแยกแยะวัตถุบนถนนโดยถูกจากความเคลื่อนไหว (plane + parallax)
อย่างไรก็ตาม ระบบของ Mobileye ก็มีความมั่นใจ (confidence) ในการตรวจสอบของตัวเองอยู่ในระดับต่ำ (low ในมุมซ้ายของภาพ) เพราะขาดข้อมูลหลายอย่างที่ควรจะมี และภาพจากวิดีโอก็คุณภาพต่ำด้วย
Shashua สรุปว่าอุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้ความเชื่อมั่นของคนทั่วไปต่อรถยนต์ไร้คนขับมีน้อยลง และอุตสาหกรรมรถยนต์จำเป็นต้องทำงานกันหนักขึ้นเพื่อกู้ความเชื่อมั่นตรงนี้กลับคืนมา
ที่มา - Intel