Dell Technologies World 2018 วันแรก: ยุทธศาสตร์องค์กรยุคหน้า คือ Data, AI และ Software Defined

by arjin
1 May 2018 - 08:20

เดลล์ได้จัดงาน Dell Technologies World 2018 ซึ่งเป็นครั้งแรกของการใช้ชื่องานนี้ (ปีก่อนใช้ชื่อว่า Dell EMC World) เพื่อสะท้อนยุทธศาสตร์ของเดลล์ที่ต้องการนำเทคโนโลยีมาใช้ ในระดับ end-to-end ทั้งหมดภายใต้เครือของ Dell Technologies

สำหรับเนื้อหาของงานวันแรก เป็นการนำเสนอภาพรวมในระดับองค์กร และจับประเด็นสำคัญบางอย่าง ที่เดลล์มองว่าเป็นโอกาสใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) ได้ตามยุทธศาสตร์ของเดลล์ มีประเด็นน่าสนใจดังนี้ครับ

สู่ยุคของข้อมูลและ AI

ซีอีโอ Michael Dell กล่าวเปิดงานโดยบอกว่าวิสัยทัศน์ของเดลล์คือการนำเทคโนโลยี เป็นตัวขับเคลื่อนสิ่งใหม่ๆ สำหรับผู้คน องค์กรยุคนี้ต้องกำหนดยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยี ซึ่งมีความสำคัญระดับยุทธศาสตร์องค์กร โลกในยุคนี้เป็นเรื่องของข้อมูล (Data) แต่ความท้าทายคือเราต้องการใช้ข้อมูลเหล่านั้นให้ได้ทั้งความเร็วและขนาด (Speed & Scale) นำมาซึ่งความต้องการเทคโนโลยีอย่าง AI และซอฟต์แวร์จัดการข้อมูลต่างๆ

สไลด์ด้านล่างนี้ Dell พูดถึงวัฏจักรของธุรกิจในยุคถัดไปที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เมื่อธุรกิจมีข้อมูลก็พัฒนาสินค้าที่ตรงความต้องการลูกค้ามากขึ้น พอลูกค้ามากขึ้น ข้อมูลที่มากขึ้นก็จะไหลกลับมาหาธุรกิจ สิ่งเหล่านี้ทำให้ธุรกิจจะต้องรับมือกับข้อมูลที่มากขึ้นและต้องการความเร็วที่มากขึ้น วนเวียนเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เปรียบเทียบได้ว่า AI คือจรวด ที่ต้องการข้อมูลเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน

ตัวเลขที่น่าสนใจคือข้อมูลจะถูกสร้างขึ้นมาจำนวนมหาศาลมากขึ้น เดลล์ประเมินว่าในเมืองๆ หนึ่ง สามารถผลิตข้อมูลได้มากขึ้น 200PB ต่อวันภายในปี 2020 ซึ่งสาเหตุมาจากอุปกรณ์ IoT ทั้งหลายที่เก็บข้อมูลทุกอย่าง (ประเมินว่า 99% ของข้อมูล 200PB มาจาก IoT ที่คนสร้างเองมีแค่ 1%) ทำให้สิ่งที่ต้องการตามมาคือ หน่วยความจำ, การประมวลผล และโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับได้

ช่วงถัดมา Alison Dew หัวหน้าฝ่ายการตลาดคนใหม่ของเดลล์ที่เพิ่งรับตำแหน่งไม่ถึงหนึ่งเดือน มานำเสนอข้อมูลจาก Dell Technologies Institute ที่ทำการสำรวจมุมมอง เนื่องจากเราเห็นการเปลี่ยนผ่านยุคดิจิทัลที่ disrupt หลายอย่าง พบว่า 48% ไม่แน่ใจว่าอุตสาหกรรมที่ตนอยู่ใน 3 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่เดลล์เชื่อว่ายุคหน้าจะเป็นยุคของคนและเครื่องจักรร่วมมือกัน

มุมมองที่น่าสนใจคือ 50% เชื่อว่าเครื่องจักรจะทำให้พวกเขามีเวลาว่างมากขึ้น ส่วน 49% มองว่าเครื่องจักรจะเข้ามาช่วยให้ประสิทธิภาพทำงานสูงขึ้น นอกจากนี้ผลสำรวจ 82% ยังบอกว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า องค์กรต้องการเปลี่ยนผ่านเป็นองค์กรที่กำหนดด้วยซอฟต์แวร์ (Software-Defined) ซึ่งเป็นที่มาของกลยุทธ์เดลล์ที่จะนำเสนอถัดไป

Michael Dell กับมุมมองเรื่อง AI

ใน Session ถัดมา เป็นการถามตอบกับ Michael Dell ในประเด็นต่างๆ มีหลายคำถามที่น่าสนใจดังนี้

Dell ตอบคำถามถึงความกังวลต่อพลังของ AI (ในคำถามมีการอ้างถึง Elon Musk ที่บอกว่า AI อันตรายกว่าอาวุธนิวเคลียร์) ซึ่ง Dell มองว่าเมื่อคนกลัว คนก็จะอยากให้มีการควบคุม ซึ่งก็อยู่ที่พวกเราทุกคนว่าต้องการแบบไหน เขาเปรียบเทียบกับอดีตที่มนุษย์ค้นพบไฟครั้งแรก ตอนนั้นคนก็กลัวในพลังของไฟ แต่สุดท้ายเราก็หาประโยชน์จากมันได้ และก็หาโทษจากมันได้ อยู่ที่จะใช้ทำอะไร จากนั้น Dell ยกตัวอย่างที่หนักกว่าคือการค้นพบล้อ เขาบอกว่าล้อทำให้คนจำนวนมากตกงาน แต่สุดท้ายล้อก็เป็นสิ่งจำเป็น ที่เราควรทำคือหยุดคนเพียง 1-2% ที่พยายามนำสิ่งใหม่ๆ ไปใช้ในทางที่ไม่ถูกมากกว่า

เขาบอกว่าวันนี้ AI ก็เหมือนอินเทอร์เน็ตในยุค 90 ทุกคนรู้ว่าดี แต่ก็ไปสนใจที่ข้อเสียของมันและกังวลมากเกินไป

จากนั้นเป็นคำถามเรื่องเทคโนโลยี 5G ซึ่งมีมุมมองน่าสนใจว่า หากดูแนวโน้มความต้องการเทคโนโลยีสมัยใหม่นั้น 5G ก็ดูจะไม่เพียงพอด้วยซ้ำ หากรถยนต์บนโลกเพียง 1% เป็นรถยนต์อัตโนมัติระดับ 4 จะมีการสร้างข้อมูลจากรถออกมาถึง 4TB ต่อวัน ซึ่งเทคโนโลยี 5G ก็ยังไม่เพียงพอ แถมยังไม่รวมถึงหน่วยความจำ NAND ที่จะเป็นที่ต้องการมากขึ้นอีก Dell บอกว่าที่น่าสนใจคือหลายประเทศในโลกตอนนี้มีอุปสรรคในการไปสู่ 5G เพราะว่าบริษัทต่างไม่มีเงินจะลงทุนขยายโครงข่ายแล้ว จึงเป็นเรื่องท้าทายในอนาคตที่เดลล์จะร่วมหาทางออกด้วยกัน

คุยกับผู้บริหาร - ตลาดเอเชีย และทิศทางของ SDN

Blognone ได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณ Amit Midha ประธานฝ่าย Commercial ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคและญี่ปุ่น (APJ) ซึ่งดูแลภาพรวมในภูมิภาค โดยคุณ Amit ย้ำตามยุทธศาสตร์เดลล์ว่า ข้อมูลและเทคโนโลยีคืออนาคต ซึ่งเดลล์จะเข้ามาช่วยทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้และเป็นได้จริง ตามสโลแกนงานปีนี้ที่ว่า Make It Real (และคุณ Amit แถมท้ายว่า Make It Happen ด้วย)

เขามองว่าโอกาสในภูมิภาคนี้คือการสร้างเมืองดิจิทัล (Digital City) ซึ่งในนิยามของเขาคือเมืองที่เป็นฮับของการสร้างสรรค์นวัตกรรม มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เป็นเมืองที่ใครก็อยากมาอยู่ เป็นเมืองที่คนรุ่นใหม่และคนมีฝีมือสนใจมาอยู่ ซึ่งการไปให้ถึงจุดนั้นหน่วยงานรัฐต้องอำนวยความสะดวก ให้คนได้ลองทำสิ่งต่างๆ (Ease to do Business) มีการเก็บข้อมูลด้วย IoT มีการนำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

คุณ Amit มองว่าในเอเชียมีเมืองกว่า 100 แห่งที่สามารถเป็น Digital City ได้ (รวมทั้งไทยด้วย ซึ่งเติบโตมากจากอีคอมเมิร์ซ) แต่ทั้งนี้เขาบอกว่าตัวเลข 100 นี้ ยังไม่ได้รวมประเทศจีน ซึ่งที่นั่นมีเมืองที่มีโอกาสเยอะมาก

เห็นเดลล์พูดถึงแต่งานระดับองค์กรและโครงสร้างพื้นฐาน ก็เลยถามถึงตลาด Consumer ซึ่งได้คำตอบว่าตลาดนี้เป็นตลาดที่ใหญ่มาก และเดลล์ยังไม่มีแผนจะออกจากตลาดนี้แน่นอน ดูได้จากผลิตภัณฑ์ล่าสุดอย่าง XPS13 ที่เดลล์ลงทุนด้านการออกแบบ, สินค้าตระกูล Alienware ก็ยังคงพัฒนาต่อเนื่อง

ช่วงถัดมาเราได้สัมภาษณ์คุณ Jeff Baher ซึ่งเป็น Senior Director ด้านผลิตภัณฑ์และเทคนิคการตลาด ของกลุ่มผลิตภัณฑ์โซลูชันเครือข่าย โดยเดลล์มีมุมมองต่อ Open Network ว่าจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนโลกของเครือข่ายไปทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่เดลล์ลงทุนไปตั้งแต่ปี 2014 โดย Open Network จะรองรับทุกการเชื่อมต่อตั้งแต่ระดับภายในศูนย์ข้อมูล, ข้ามศูนย์ข้อมูล, การเชื่อมต่ออุปกรณ์สมัยใหม่

เดลล์มองว่าใน 24 เดือนข้างหน้า เราจะเห็นผลิตภัณฑ์ด้าน Open Network มากขึ้นถึง 75% ซึ่งเป็นการกำหนดที่ระดับซอฟต์แวร์ (Software Defined Network) และเดลล์ก็มี VMWare ที่รองรับสิ่งเหล่านี้แล้ว

เมื่อถามถึงความยากลำบากในการเปลี่ยนแปลง คุณ Jeff อธิบายให้เห็นภาพว่า อุปกรณ์ Open Network นั้นใช้พื้นที่น้อยกว่า และปรับแต่งให้ตรงความต้องการของฝั่งนักพัฒนาแอพได้รวดเร็วมากกว่า เขามองว่าภาพของการจัดการองค์กรไอทีในยุคหน้า (เรียกว่ายุค Virtualization) การแบ่งบทบาทของคนที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ข้อมูลจะเปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็น Network, Systems, Database, Storage จะกลายเป็น Administrator, Cloud Administrator, DevOps, Infrastructure แทน ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดพร้อมกับการมาของ Open Network

Blognone Jobs Premium