ไขข้อสงสัยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) บน Apple Watch โดยแพทย์ รพ. สมิติเวช

by nismod
26 September 2018 - 09:02

เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา แอปเปิลอัพเดตผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ Apple Watch Series 4 ที่มีไฮไลท์คือการตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram - ECG/EKG) สามารถตรวจหาความผิดปกติของการเต้นของหัวใจได้สร้างความฮือฮาและความตื่นตัวในแง่ของการมี ECG บนอุปกรณ์สวมใส่

แต่การมาถึงของ ECG บน Apple Watch ยังมีคำถามตามมามากมาย ทั้งความสามารถว่าอุปกรณ์เหล่านี้ให้ผลเทียบเท่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้ในสถานพยาบาลหรือไม่ ความน่าเชื่อถือว่าแม่นยำแค่ไหน ไปจนถึงประเด็นว่าเราควรจะเชื่อผลการตรวจ ECG บนอุปกรณ์สวมใส่มากน้อยแค่ไหน

Blognone จึงขอสัมภาษณ์ น.พ. กฤษฎา วิไลวัฒนากร อายุรแพทย์โรคหัวใจ (Cardiologist) โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจโดยตรง เพื่อช่วยอธิบายและให้ความกระจ่างจากคำถามข้างต้นครับ

หลักการพื้นฐานของการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 12 จุด

คุณหมอกฤษฎาอธิบายหลักการพื้นฐานว่า การเต้นของกล้ามหัวใจจะมีการสร้างกระแสไฟฟ้าขึ้นมาเป็นปกติ การตรวจคลื่นไฟฟ้าทำให้ทราบว่า หัวใจเต้นเป็นจังหวะปกติหรือไม่ สม่ำเสมอหรือไม่ โดยจะแสดงออกมาในลักษณะของเวกเตอร์ไฟฟ้า และเป็นแนวทางให้กับแพทย์ในการวินิจฉัยว่าอาจเกิดโรคหรือความผิดปกติอะไรขึ้นได้บ้าง

การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจตามมาตรฐานที่โรงพยาบาลจะติดตัววัดสัญญาณชีพจร (marker) บนร่างกายทั้งหมด 10 จุด (12-lead) เพื่อให้เห็นการวิ่งของกระแสไฟฟ้าทั้ง 4 ห้องหัวใจ และตำแหน่งของตัวตรวจจับแต่ละจุดก็ทำหน้าที่วัดการวิ่งของกระแสไฟฟ้าจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง

น.พ. กฤษฎา วิไลวัฒนากร, อายุรแพทย์โรคหัวใจ (Cardiologist) โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท

อุปกรณ์ ECG สำหรับผู้บริโภคเป็นการวัดแบบจุดเดียว (single-lead)

การตรวจ ECG บนอุปกรณ์ที่วางจำหน่ายโดยทั่วไป (Portable/Consumer ECG) จะเป็นแบบ single-lead คือวัดกระแสไฟฟ้าได้ทางเดียว จากมือขวาไปมือซ้ายเท่านั้น ดังนั้นการตรวจจะไม่ได้ภาพรวมของหัวใจทั้งหมด ช่วยบอกได้แค่ว่าจังหวะการเต้นปกติหรือไม่ มีเต้นผิดจังหวะหรือเปล่า

ส่วนอาการผิดปกติที่ ECG แบบ single-lead บ่งบอกได้คืออาการหัวใจเต้นพริ้วหรือเต้นระริก (Atrial Fibrillation) ที่ผนังหัวใจห้องบนเต้นเร็วกว่าหัวใจห้องล่าง ทำให้จังหวะการเต้นของชีพจรไม่สม่ำเสมอ (irregular) ซึ่งการตรวจ Atrial Fibrillation นี้ทำได้เฉพาะการตรวจคลื่นไฟฟ้าเท่านั้น การตรวจจับจากจังหวะการเต้นของหัวใจแบบเดิม อย่างบนสมาร์ทวอชหลายเจ้าที่ไม่มี ECG ทำไม่ได้แน่นอน

สิ่งที่ต้องระวัง: False Positive กับความแม่นยำของอุปกรณ์

การตรวจอาการหัวใจเต้นพริ้ว (Atrial Fibrillation) บนอุปกรณ์สวมใส่เหล่านี้ ถึงแม้จะมีประโยชน์ในแง่ความสะดวก และช่วยผู้ป่วยให้รู้ตัวเองได้ไวขึ้นก็จริง แต่ยังไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือวินิจฉัยโรคเต็มรูปแบบได้ทีเดียว เพราะมีโอกาสเกิดผลบวกลวงหรือ False Positive ได้ กล่าวคือ สมาร์ทวอทช์อาจตรวจพบว่ามีอาการหัวใจเต้นพริ้ว แต่ความจริงคือไม่ได้เป็นอะไร

คุณหมอกฤษฎาอธิบายว่า ปกติหัวใจอาจเกิดอาการเต้นแทรกหรือมีการสร้างกระแสไฟฟ้าแทรกขึ้นมาเล็กน้อย นานๆ อาจจะมีครั้งหนึ่ง แต่อาจทำให้เครื่องตรวจวัดออกมาแล้วพบว่าช่องไฟของจังหวะการเต้นมีความผิดปกติและระบุว่าเป็นอาการของ Atrial Fibrillation ก็ได้ ทว่าเมื่อมาตรวจแบบ 12-lead กับแพทย์แล้วไม่พบความผิดปกติอะไร กลายเป็นผลบวกลวงไป ซึ่งก็อาจสร้างความกังวลกับผู้ป่วยหรือผู้ใช้งานที่เชื่อเทคโนโลยีจนเกินไปได้อีก ว่าทำไมผลบนอุปกรณ์เหล่านี้ถึงไม่ตรงกับที่โรงพยาบาล

คำแนะนำในการใช้งาน ECG บนนาฬิกาหรืออุปกรณ์แบบพกพา

คุณหมอยอมรับว่าอุปกรณ์เหล่านี้มีประโยชน์ ช่วยให้ผู้ใช้ตรวจสอบตัวเองได้ดีมากขึ้น เมื่อพบปัญหาก็สามารถมาพบแพทย์ได้เร็วขึ้น แต่ข้อแนะนำคืออย่าไปยึดติดหรือกังวลกับมันมาก อุปกรณ์ชิ้นเดียวไม่สามารถบ่งบอกโรคได้ทั้งหมด หากมีปัญหาหรืออาการผิดปกติควรมาพบแพทย์ เพื่อซักประวัติหรือตรวจกับเครื่องมือมาตรฐานอื่นๆ เพิ่มเติม ส่วนการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบ 12 lead ก็ควรตรวจเป็นประจำไปพร้อมๆ กับการตรวจร่างกายประจำปี และแนะนำว่าสำหรับผู้ที่มาอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป ควรเข้ามาตรวจเช็คด้วยเครื่องวัด ECG ในโรงพยาบาล

อย่าลืมว่า ECG บน Apple Watch ยังไม่เปิดให้ใช้

สำหรับ Apple Watch Series 4 บริษัทแอปเปิลระบุว่า ณ ตอนนี้ใช้ได้เฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น (แถมเปิดให้ใช้ปลายปีด้วย) เพราะได้รับการรับรองในกลุ่ม Class II จาก FDA (อย. สหรัฐ) แค่ที่เดียว โดยในประเทศไทย เมื่อวางจำหน่ายฟีเจอร์ ECG จะถูกปิดไว้เป็นค่าดีฟอลต์ หากจะเปลี่ยนจาก Series 3 ไปเป็น Series 4 เพราะหวังฟีเจอร์นี้อาจจะต้องผิดหวัง คงต้องรอ อย. ของไทยรับรองและอนุญาตต่อไป

Blognone Jobs Premium