นอกจากซีพียู Core 9th Gen รุ่นสำหรับตลาดคอนซูเมอร์คือ Core i9/i7/i5 อินเทลยังเปิดตัว Core X-series รุ่นที่สองมาพร้อมกัน
Core X-series เปิดตัวครั้งแรกในปี 2017 (พร้อม Core i9 ตัวแรกสุดในประวัติศาสตร์) มันถูกวางตัวให้อยู่เหนือกว่าซีพียู Core i3/i5/i7/i9 รุ่นปกติ โดยมีจุดเด่นที่จำนวนคอร์เยอะๆ และสมรรถนะด้าน I/O จับกลุ่มตลาด content creator ที่เน้นงานด้านประมวลผลวิดีโอ/กราฟิก
Core X-series รุ่นที่สองนับเป็น 9th Gen และใช้รหัสขึ้นต้นด้วย 9xxx เหมือนกัน แต่ตัวมันเองยังใช้สถาปัยกรรม Skylake-X เหมือนกับ Core X-series รุ่นแรก (ที่นับยุคเป็น 7th Gen หรือรหัส 7xxx คือข้ามยุคที่ 8 ไปเลย) ซึ่งอาจเรียกว่าเป็น Skylake-X Refresh ก็ได้
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือจำนวนคอร์, ความถี่สัญญาณนาฬิกา แคชและเลน PCIe ที่เพิ่มขึ้น
ซีพียู Core X-series รุ่นที่สองเปิดตัวมา 7 รุ่นย่อย (แยกเป็น Core i9 8 ตัวและ Core i7 1 ตัว) โดยตัวล่างสุด Core i7-9800X เริ่มต้นที่ 8 คอร์ 16 เธร็ด (รุ่นแรกคือ Core i7-7800X เริ่มต้นที่ 6 คอร์ 12 เธร็ด) ส่วนตัวสูงสุด Core i9-9980XE Extreme Edition ยังเป็น 18 คอร์ 36 เธร็ดเท่ากับตัวสูงสุดของรุ่นก่อน (Core i9-7980XE) ความถี่สัญญาณนาฬิกาเพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อย ต่ำสุดที่ 3.0GHz และสูงสุดที่ 4.5GHZ
จุดที่น่าสนใจคือ Core X-series รุ่นที่สองปรับ TDP เป็น 165 วัตต์เท่ากันหมดทุกตัว ต่างจากรุ่นแรกที่มี TDP 165/140 วัตต์, ปรับเลน PCIe เป็น 44 เลนเท่ากันทุกตัว (ของเดิมมีทั้ง 44/28 เลน) และซีพียูตัวล่างๆ ของ Core X-series ก็เพิ่มแคช L3 ให้มากขึ้นเป็น 19.25/16.50MB (ของเดิมอยู่ระหว่าง 16.50MB ไปจนถึง 8.25MB)
ตารางเปรียบเทียบ Core X-series รุ่นใหม่กับรุ่นเก่า จาก AnandTech จุดต่างคือตัวหนา
ภาพรวมของ Core X-series คือการนำ Skylake-X ตัวเดิมมาปรับปรุงใหม่ และใช้กระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น (อัพเกรดจาก 14nm+ มาเป็น 14nm++) ทำให้สามารถอัดคล็อคให้สูงขึ้นได้ มีสมรรถนะสูงขึ้น 15% และนำมาขายแทน Skylake-X ตัวเดิม
ซีพียูทั้ง 7 ตัวที่เปิดตัวจะเริ่มวางขายในเดือนพฤศจิกายน มีราคาขายดังนี้