New York Times รายงานข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า ในช่วงหกเดือนหลังมานี้ Google ถูกขอข้อมูลจากฐานข้อมูลที่เก็บประวัติตำแหน่งของอุปกรณ์มือถือ หรือที่เรียกกันภายในว่า Sensorvault เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก (ตามต้นฉบับคือ risen sharply)
การขอข้อมูลที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากนี้ NYT รายงานข้อมูลจากแหล่งข่าวคร่าว ๆ ว่าในบางสัปดาห์มีจำนวนการขอข้อมูลมากสุดถึง 180 ครั้ง และในบางกรณีมีการขอข้อมูลกว้างมาก ๆ คือครอบคลุมมือถือนับร้อยเครื่องในคำขอเพียงครั้งเดียว
ในรายงานยังระบุว่ายังมีการร้องขอประเภท geofence ด้วย คือขอให้ Google ส่งข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ของอุปกรณ์ทุกเครื่องที่ผ่านพื้นที่นั้น ๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งแม้ว่า Google จะใช้ ID ที่ระบุถึงตัวตนไม่ได้ในตอนแรก แต่หากมีคำขอจากตำรวจที่สงสัยเป็นกรณี ๆ ไป Google ก็ส่งข้อมูลประเภทชื่อหรือข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ให้ตำรวจได้
NYT ได้คุยกับผู้สืบสวนรายหนึ่ง เขาระบุว่าคำขอข้อมูลแบบ geofence ไม่ได้ขอจากบริษัทอื่นนอกจาก Google เพราะอย่าง Apple ก็ระบุว่าไม่สามารถทำตามได้ แต่ Google ก็จะมีข้อมูลจาก iPhone อยู่บ้างเช่นกัน
เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้พนักงานของ Google เป็นอย่างมาก โดย Brian McClendon ผู้นำการพัฒนา Google Maps และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องจนถึงปี 2015 กล่าวว่า เขาและวิศวกรคนอื่น ๆ ก็คิดว่าตำรวจน่าจะเรียกข้อมูลเฉพาะบุคคลไป แต่เทคนิคนี้เปรียบเสมือน fishing expedition ซึ่งหมายถึงความพยายามในการสืบสวนโดยไม่มีเป้าหมาย แต่เป็นการหาข้อกล่าวหาหรือพยายามหาหลักฐานที่ดูน่าสนใจพอ
ตามกฎหมาย Fourth Amendment มีการระบุว่าต้องจำกัดการค้นหาและหาสาเหตุที่เป็นไปได้ แต่ก็ไม่มีระบุไว้อย่างเป็นทางการว่า geofence ที่ผ่านกระบวนการของ Google นี้เป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ และก็ไม่ใช่ว่าหน่วยงานตำรวจทุกแห่งจะกระทำการอย่างเหมาะสม ซึ่งอาจส่งผลให้ข้อมูลของคนผู้บริสุทธิ์เปิดเผยขึ้นมาได้
NYT ได้ยกกรณี Jorge Molina ที่ต้องสงสัยว่าเป็นอาชญากรโดยใช้ข้อมูล เขาถูกจับกุมที่โกดัง Macy’s แต่ได้ Jack Litwak เพื่อนเขาช่วยเป็นพยานว่า Molina อยู่กับเขาตอนเกิดเหตุ พร้อมหาหลักฐานเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของเขาด้วย
หลังถูกจำคุกเกือบสัปดาห์ Molina ก็ได้รับอิสรภาพ และตำรวจไปจับกุมอดีตแฟนหนุ่มของแม่เขาแทน แต่ Molina ต้องใช้เวลาจัดการปัญหาอีกนับเดือนกว่าจะกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะหลังถูกจับกุมเขาก็ตกงาน รถยนต์ก็ถูกยึดไว้เป็นของกลางด้วย แต่สุดท้ายก็ได้คืน
ข้อมูลตำแหน่งที่อยู่นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะ Google เก็บมาตั้งแต่ปี 2009 หรือราวสิบปีมาแล้ว และผู้ใช้จะต้องให้สิทธิ์ในการเก็บข้อมูลต่อ Google อยู่แล้ว แต่โดยมากผู้ใช้มักจะไม่ทราบว่า Google เก็บข้อมูลไว้ได้นานแค่ไหนก็ได้ หรือว่าผู้ใช้อาจไม่ทราบว่าประวัติของตัวเองนั้นมีข้อมูลมากพอที่จะทำให้เห็นภาพการเคลื่อนไหวได้ในระดับถนนต่อถนน
ที่มา - The New York Times, Engadget