ด้วยวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐที่กำลังดำเนินอยู่ ทำให้ยอดขายคอมพิวเตอร์ในสหรัฐติดลบมาโดยตลอด (คิดเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน) โดยตัวเลขของทั้งอุตสาหกรรมตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2008-กุมภาพันธ์ 2009 อยู่ระหว่าง -2.2% ถึง -6.8% (กุมภาพันธ์ 2009 คือ -6.8% ถือว่าเยอะที่สุด)
แต่ถ้าคิดเฉพาะพีซีแล้ว กลับโตสวนกระแสอุตสาหกรรม โดยพีซีพลิกฟื้นจาก -6.6% ในเดือนพฤศจิกายน ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลับมาเป็นบวก 0.1% ได้เมื่อเดือนมกราคม 2009 และล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ ตลาดพีซีโต 1.4% ตัวเลขทั้งหมดนี่คิดในเชิงรายได้ ถ้านับเป็นเชิงจำนวนเครื่องที่ถูกขายออกไป ยอดขายพีซีเดือนกุมภาพันธ์ 2009 โตถึง 22% เมื่อเทียบกับปี 2008
ส่วนตลาดของแมคนั้นกลับหดตัวมากกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ของเดือนกุมภาพันธ์ ยอดขายแมคติดลบ -16.7% ในเชิงจำนวน และ -23.3% ในเชิงรายได้ (ในเดือนมกราคมตัวเลขรายได้ติดลบ -10.2% อยู่แล้ว) คำอธิบายของแมคนั้นตรงไปตรงมาว่าขายได้น้อยเพราะมันแพง (ราคาขายเฉลี่ยของแมคอยู่ที่ 1,500 ดอลลาร์)
แต่ราคาขายเฉลี่ยของพีซีที่ลดลงจาก 572 ดอลลาร์ในเดือนพฤศจิกายน มาอยู่ที่ 555 ดอลลาร์ในเดือนกุมภาพันธ์ อาจจะไม่เป็นคำตอบที่ดีนักว่าทำไมพีซีกลับขายได้เพิ่ม นักวิเคราะห์ของ eWeek มองว่ามีเหตุผล 3 ข้อดังนี้
ตลาดเดสก์ท็อปนั้นหดลงเป็นอย่างมากไม่ว่าพีซีหรือแมค (แต่แมคโดนผลกระทบเยอะมาก บางเดือน -42.5% ส่วนพีซีลบประมาณ 10-20%) สำหรับโน้ตบุ๊ก ในเดือนล่าสุดแมค -14.3% แต่พีซีโต 6.1%
ที่มา - Microsoft Watch