ต้นเดือนที่ผ่านมา ซัมซุงเพิ่งเปิดตัวสายรัดข้อมือด้านสุขภาพ (Fitness Tracker) 2 รุ่นใหม่ในไทยอย่าง Galaxy Fit และ Galaxy Fit e โดยภาพรวมความสามารถของ 2 ตัวนี้คล้ายๆ กัน มีความแตกต่างกันบ้างเพราะถูกวางตัวทางการตลาดเอาไว้กันคนละตำแหน่ง โดย Galaxy Fit e เป็นรุ่นราคาถูก ฟีเจอร์จำกัดกว่า
บทความนี้จึงจะรีวิวในเชิงเปรียบเทียบระหว่างสายรัดข้อมือสุขภาพทั้ง 2 รุ่น
ด้วยความที่ Galaxy Fit และ Fit e เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ดีไซน์ตัวเครื่องจึงแทบไม่แตกต่างกันมากนัก สายรัดข้อมือเป็นแบบเก็บสายด้านใน ตอนใส่ตอนถอดมีแอบยากอยู่บ้าง เนื่องจากความเคยชินกับสายนาฬิกาปกติที่สายอยู่ด้านนอก ทว่าด้วยความที่ Galaxy Fit ทั้งสองรุ่นถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ยาวนาน คำโฆษณาของซัมซุงคือ 1 อาทิตย์และกันน้ำ สามารถใส่อาบน้ำได้เลย ดังนั้นดีไซน์สายแบบนี้จึงพอเข้าใจได้ว่าถูกออกแบบมา ไม่ใช่แค่เพียงความเรียบร้อย แต่ตอบโจทย์การใส่ทีเดียว สามารถอยู่ยาวทั้งอาทิตย์
ความแตกต่างในแง่ดีไซน์ หลักๆ มีแค่ 2 จุดคือ Galaxy Fit มาพร้อมหน้าจอ OLED ทัชสกรีน พร้อมปุ่มด้านซ้ายของตัวเครื่อง สำหรับกดเปิดหน้าจอ เพื่อดูนาฬิกาหรือจำนวนก้าว (กรณีที่ยกข้อมือขึ้นมาแล้วหน้าจอไม่ติด) ซึ่งสามารถตั้งค่าได้ว่า เมื่อกดปุ่มค้าง จะให้ Galaxy Fit ตรวจจับการออกกำลังกายประเภทไหน และในแอป Galaxy Wear มีให้เลือกถึง 96 ตัวเลือก
ขณะที่ Galaxy Fit e ไม่เพียงไม่มีปุ่ม แต่หน้าจอยังเป็น PMOLED แบบโมโนโครมและไม่รองรับระบบสัมผัส ไม่สามารถปัดซ้ายขวาเพื่อเลือกดูข้อมูลได้ แต่อาศัยการเคาะหน้าจอ 2 ครั้ง เพื่อเปิดหน้าจอแทน (กรณีที่ยกข้อมือขึ้นมาแล้วหน้าจอไม่ติด) และอาศัยการเคาะหน้าจอนี่แหละ เพื่อเปลี่ยนการแสดงผลข้อมูลต่างๆ
ส่วนความสามาถรวมๆ ไม่ต่างกัน ตั้งแต่การตรวจจับการออกกำลังกาย, จังหวะการเต้นหัวใจ, การนอน รวมถึงกันน้ำ ผ่านมาตรฐาน 5ATM หรือสามารถอยู่ในน้ำได้ลึกสุด 50 เมตรนานสุด 10 นาที
ตามเกริ่นไปแล้วว่าซัมซุงเคลมว่าทั้ง Galaxy Fit และ Galaxy Fit e สามารถอยู่ได้ยาว 6-7 วัน ซึ่งจากการใช้งานจริง ทั้งสองรุ่นสามารถใช้งานได้ราวๆ 6-7 วันจริงต่อการชาร์จ 1 ครั้งจริง อาจลดหลั่นลงไปหลักชั่วโมงถึงครึ่งวัน หากใช้งานหนัก
ด้านการเชื่อมต่อ Galaxy Fit ทั้ง 2 รุ่นจะทำงานร่วมกับแอป Galaxy Wear และ Samsung Health ผ่าน Bluetooth LE ซึ่งโดยภาพรวมทำงานได้ปกติตามความคาดหวัง ไม่พบปัญหาใดๆ นอกจากเวลาเชื่อมต่อทั้ง Galaxy Fit และ Fit e ทำให้ตัวแอป Galaxy Wear และสมาร์ทโฟนสับสนว่าควรเชื่อมกับเครื่องไหน และมีอาการหลุดบ่อยๆ
อย่างไรก็ตามด้วยความที่ไม่ได้เลือกให้ตัว Galaxy Fit แสดงการแจ้งเตือนใดๆ จากสมาร์ทโฟนยกเว้นโทรศัพท์เข้า กลับพบปัญหาความน่ารำคาญ เวลาลงแอปใหม่ ตัว Galaxy Wear จะตั้งค่าเปิดการแจ้งเตือนแอปใหม่นั้นมายัง Galaxy Fit ให้อัตโนมัติ ซึ่งต้องมาคอยไล่ปิดทุกครั้ง
ส่วนเมื่อเทียบการใช้งานระหว่าง Galaxy Fit และ Fit e แทบไม่ต่างกันมากนัก นอกจากแค่ว่า Galaxy Fit รองรับการแจ้งเตือนที่มากกว่า (แต่ส่วนตัวไม่ได้ใช้) เพราะ Fit e แค่สั่นเตือนเท่านั้น ไม่ได้แสดงผลใดๆ ที่หน้าจอ และความเคยชินในการกดปุ่มและปาดหน้าจอบน Galaxy Fit และต้องเปลี่ยนมาเป็นเคาะหน้าจอบน Fit e เท่านั้น
ถ้าถามถึงความแตกต่างในการใช้งานของทั้ง 2 รุ่น ก็บอกได้แค่ว่าไม่ได้ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ หากใครต้องการแต่การแสดงผลข้อมูลการออกกำลังกายอย่างเดียว ก็แนะนำ Galaxy Fit e ที่ราคาค่อนข้างถูกที่ 1,290 บาท เท่านั้น ส่วนใครที่อยากได้ฟีเจอร์และความสามารถแบบเต็มรูปแบบของสมาร์ทแบนด์ก็คงต้องไป Galaxy Fit ที่ราคาสูงกว่าหน่อยที่ 3,290 บาทแทน