ถ้าพูดถึงเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย ยี่ห้อแรกๆที่น่าจะถูกนึกถึงคงหนีไม่พ้น Dyson ที่ล่าสุดเปิดตัว V11 เครื่องดูดฝุ่นที่ทรงพลังและชาญฉลาดที่สุดของ Dyson [1] รุ่นล่าสุด ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อจากเครื่องดูดฝุ่น V10 รุ่นเดิม ที่ยังคงความโดดเด่นเรื่องดีไซน์ กล่องเก็บฝุ่นที่ถอดไปเททิ้งได้ง่าย ดิจิทัลมอเตอร์พลังแรงดูดมหาศาล รุ่นนี้ได้เพิ่มหน้าจอ LCD ที่แสดงโหมดการทำงานที่ใช้, รายงานผลแบบเรียลไทม์และมาพร้อมกับหัวดูดที่ชาญฉลาด มีเทคโนโลยีใหม่ที่ปรับเปลี่ยนความแรงในการดูดได้ตามพื้นผิวที่กำลังทำความสะอาด
ภาพรวมดีไซน์ของ Dyson V11 Absolute จะยังคงคอนเซปต์รูปลักษณ์ความคล้ายคลึงกับรุ่นก่อนหน้า ยกเว้นบริเวณหลังตัวเครื่องด้านท้ายที่ V11 มาพร้อมกับหน้าจอ LCD สำหรับบอกโหมดของเครื่อง มี 3 โหมด ได้แก่ Eco สำหรับการใช้งานได้ต่อเนื่องสูงสุด ประหยัดแบต, โหมด Auto ที่ใช้กับหัวดูดทำความสะอาดแรงหมุนสูงหรือหัว High torque และโหมด Boost เพื่อทำความสะอาดสิ่งสกปรกฝังแน่นที่ต้องใช้แรงมาก หน้าจอนี้ยังบอกระยะเวลาที่เหลือในการใช้งานในแต่ละโหมด รวมถึงการแจ้งเตือนปัญหาการอุดตันและแจ้งเตือนการดูแลรักษา เช่น เตือนให้นำตัวกรองออกมาทำความสะอาด
อีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือเทคโนโลยี DLS หรือ Dynamic Load Sensor ที่มากับหัวดูดทำความสะอาดแรงหมุนสูงหรือที่เรียกว่าหัว High Torque สามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวและปรับเปลี่ยนโหมดให้อัตโนมัติตามประเภทของพื้น เช่นระหว่างการดูดระหว่างพื้นแข็งและพื้นพรม ไม่ว่าจะเป็นพื้นพรมในห้องรับแขกหรือพื้นพรมในห้องน้ำจะปรับเปลี่ยนเพื่อให้ได้แรงดูดเหมาะสมกับสภาพพื้นผิวมากที่สุด
ดิจิทัลมอเตอร์ของ V11 เป็นมอเตอร์ที่สร้างแรงดูดที่ทรงพลังมากกว่า V10 ถึง 20% [2] ด้วยอัตราการหมุนกว่า 125,000 รอบต่อนาที สามารถดักฝุ่นและอนุภาคขนาดเล็กได้ ส่วนไส้กรองของ Dyson V11 ยังใช้ไส้กรองตามมาตรฐาน HEPA สามารถกรองฝุ่นได้เล็กขนาด 0.3 ไมครอนได้ 99.97% ฉะนั้นแทบจะไม่ต้องกังวลเลยว่าลมจากมอเตอร์ที่ออกมาจากด้านหลังเครื่องจะมีฝุ่นติดมาด้วย
สุดท้ายคือแบตเตอรี่ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะถูกปรับปรุงให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องนานประมาณ 60 นาทีในโหมด Eco ซึ่งให้พลังงานมากขึ้นและมีการตรวจสอบระบบในตัวและเซ็นเซอร์วัดความสูงทำหน้าที่วัดปริมาณแบตเตอรรี 4 ครั้งต่อวินาทีเพื่อส่งพลังงานในปริมาณที่เหมาะสมไปยัง Dyson ดิจิทัลมอเตอร์ V11 และหัวดูดทำความสะอาด
จากการทดสอบใช้งานจริง ต้องบอกว่า "Dyson ก็ยังคงเป็น Dyson" รักษาคุณภาพของแบรนด์ไว้อย่างครบถ้วน เช่น ตัวเครื่องดูดน้ำหนักกำลังดี สามารถใช้งานได้นานพอจะครอบคลุมทั้งห้องหรือทั้งบ้าน ถังเก็บฝุ่นยังคงเหมือน V10 ที่ลดการฟุ้งกระจายของฝุ่นเวลาถอดสลักเพื่อทิ้งฝุ่นลงถัง เพราะสามารถยื่นฝาถังลงไปในถุงขยะได้เลย (point and shoot)
อุปกรณ์ของ Dyson V11 มีหัวดูดมาให้ 2 หัวสำหรับพื้นผิวแต่ละประเภท คือหัวดูดทำความสะอาดแรงหมุนสูงและหัวดูดแบบลูกกลิ้งนุ่ม นอกจากนี้ยังมากับอุปกรณ์เสริมอีก 5 ชิ้น คือ หัวดูดปากแคบ หัวดูด 2 in 1 แปรงปัดขนนุ่ม แปรงดูดฝุ่นฝังแน่น หัวดูดมอเตอร์ขนาดเล็กที่ให้เลือกใช้งานตามความเหมาะสมและของใหม่ในรุ่นนี้คือคลิปใส สำหรับติดกับท่ออะลูมิเนียมเพื่อเก็บหัวขนาดเล็ก 2 หัว ช่วยเพิ่มความสะดวกเวลาใช้งาน ลดความวุ่นวายในการเดินไปเปลี่ยนหัวทำความสะอาดลงไปได้เยอะ
อีกหนึ่งข้อดีของ V11 Absolute คือหน้าจอ LCD ที่ช่วยบอกระยะเวลาที่เหลือของแบตเตอรี่ ช่วยให้ประมาณเวลาระหว่างการทำความสะอาดบ้านได้ตลอด ไม่ต้องกลัวว่าใช้งานไปแล้วแบตเตอรี่จะหมดกลางทาง
Dyson V11 ยังคงรักษาข้อดีของเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Dyson รุ่นก่อนๆ เอาไว้ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะความสะดวก น้ำหนักที่พอดี หัวแปรงทำความสะอาดมีให้เลือกเยอะ ตอบโจทย์ทุกสถานการณ์ แถมจัดเก็บง่ายด้วยตัวแขวนกำแพงพร้อมชาร์จไฟในตัว แถมยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆอย่าง DLS ที่รับรู้การเปลี่ยนของพื้นผิวและปรับเปลี่ยนให้อัตโนมติ และหน้าจอ LCD สำหรับแสดงโหมดการใช้งานและปริมาณระยะเวลาที่คงเหลือ
Dyson V11 ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยมี 2 รุ่น แตกต่างกันแค่จำนวนหัวสำหรับดูดฝุ่นพื้นคือ
ใครสนใจอยากทดลองใช้งาน Dyson V11 Absolute สามารถทดลองและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Dyson Shop และร้าน Dyson Demo สยามพารากอน และไอคอนสยาม
[1] ผ่านการทดสอบการดูดฝุ่นตามมาตรฐาน IEC 62885-2 วรรคที่ 5.8 ด้วยสาย/ด้ามดูด ทดสอบในโหมดแรงพิเศษ
[2] ผ่านการทดสอบการดูดฝุ่นตามมาตรฐาน IEC 62885-2 วรรคที่ 5.8 ทดสอบในโหมดแรงพิเศษ