แบรนด์ CSL หลายคนอาจจะไม่คุ้น ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะ CSL เป็นชื่อใหม่ที่เพิ่งรีแบรนด์มาจาก CS Loxinfo เดิม หลังควบรวมกิจการกับ AIS โดยยังคงดำเนินธุรกิจศูนย์ข้อมูล, Cloud Solution, และ System Integration และมีการทำงานร่วมกับ AIS เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการเพิ่มมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ CSL ยังเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใหม่อีก 2 แห่ง คืออาคาร TELLUS 2 และ The Cloud B เพื่อขยายศักยภาพในการรองรับลูกค้าที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และนี่เป็นครั้งแรกที่ CSL เปิดให้สื่อเข้าชมศูนย์ข้อมูลที่อาคาร The Cloud B ด้วย
อาคาร The Cloud B เป็นอาคารใหม่ที่ถูกสร้างต่อขยายมาจากอาคาร The Cloud A บนถนนรัชดา-รามอินทรา ไม่ไกลจากตัวเมือง ไม่ใกล้กับสถานที่ที่มีความเสี่ยง และไม่มีความเสี่ยงเรื่องน้ำท่วม เนื่องจากตัวอาคารถูกให้ยกสูงขึ้นมาจากพื้นถนนอีกราว 5 เมตรเพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าน้ำจะไม่ท่วมไปอีกขั้น
ระบบไฟฟ้าของทั้งศูนย์ข้อมูลใช้พลังงานรวมกันราว 2.1 เมกะวัตต์ สามารถจ่ายไฟได้ 6 กิโลวัตต์ต่อตู้แรค สามารถเพิ่มได้ตามความต้องการของลูกค้า มีหม้อแปลงไฟ 2 ตัวเป็นแบบ active-active เครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานดีเซลล์ 2 ตัว พร้อมถังน้ำมันที่สามารถปั่นไฟได้ต่อเนื่อง 24 ชม. UPS เป็นแบบ 2N+1 ซึ่งทาง CSL รับประกัน SLA ที่ 99.982%
ตัวอาคารถูกออกแบบตามมาตราฐานสากลเพื่อรองรับกรณีเกิดแผ่นดินไหว มีกำแพงป้องกันน้ำเข้าจากด้านนอกอาคาร ขณะที่กำแพงตัวอาคารถูกออกแบบมาให้เป็นกำแพง 2 ชั้น มี air gap ตรงกลางเพื่อป้องกันความร้อนจากภายนอก และรักษาอุณหภูมิภายใน พื้นอาคารรับน้ำหนักได้สูงสุด 1 ตันต่อตารางเมตร และรองรับตู้แรคได้ทั้งหมด 350 racks รวม The Cloud A-B ทั้ง 2 อาคาร 700 racks
สายไฟเบอร์ที่เชื่อมต่อเข้ามายังศูนย์ข้อมูลถูกออกแบบให้มี 2 เส้นทางคือด้านหน้าและด้านหลังของตัวอาคาร สามารถเชื่อมต่อไปยังศูนย์ข้อมูลอื่นๆ ด้วยอัตรา 100 Gbps บนแบนด์วิธในประเทศ (NIX) ที่ 2.9 Tbps และแบนด์วิธระหว่างประเทศ (IIG) ที่ 1.2 Tbps
จุดเด่นของศูนย์ข้อมูล CSL คือรองรับการเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการโครงข่ายหลายเจ้า โดยไม่แบ่งแยกหรือจำกัดค่าย หรือ Carrier Neutral ปัจจุบันมีผู้ให้บริการโครงข่ายที่เชื่อมต่อกับ CSL ที่พร้อมให้บริการแล้ว มีตั้งแต่ CAT, Interlink, TOT, True, UIH, Jastel, Symphony, ALT Telecom และ AWN
ระบบความปลอดภัยของที่ The Cloud มีทั้งหมด 10 ขั้นตอน ไล่ไปตั้งแต่การเข้าตัวอาคารไปจนถึงตู้แรค ขั้นแรกสุดคือหากเป็นลูกค้าหรือพาร์ทเนอร์ จะต้องอีเมลรายละเอียดนัดวันและเวลา รวมถึงส่งข้อมูลตัวตนของผู้ที่จะมาเยี่ยมชมศูนย์ข้อมูล เมื่อมาถึงแล้วจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบรายชื่อที่ทางเข้าว่ามีรายชื่อในตารางนัดหมายของวันนั้นๆ หรือไม่
เมื่อเข้ามาแล้วจะต้องผ่านการตรวจวัตถุอันตรายและสิ่งของต้องห้ามต่าง ๆ ก่อนจะเข้าไปลงทะเบียนยืนยันตัวตนที่คอมพิวเตอร์ (ขั้นตอนนี้ค่อนข้างรวดเร็ว แค่ไม่กี่วินาทีก็เสร็จ) เพราะแค่เสียบบัตรประชาชนแล้วคลิกเพียงไม่กี่คลิกเท่านั้น ก่อนจะนำบัตรประชาชนไปแลกเป็นบัตรแข็งสำหรับแตะเข้าประตู
CSL ให้ความสำคัญสูงสุดในเรื่องการรักษาความปลอดภัยและไม่กระทบกับการยืนยันตัวตน ซึ่งสามารถทำได้รวดเร็วอีกด้วย โดยยกตัวอย่างกรณีที่มีลูกค้ามาทดสอบการใช้งานห้อง Disaster Recovery หลักร้อยคน ก็สามารถลงทะเบียนในขั้นตอนนี้ได้ครบทุกคนภายใน 15 นาทีเท่านั้น
การเข้าถึงอาคาร B ออกแบบให้ยืนยันตัวตนที่อาคาร A ก่อน ขณะที่ลิฟต์จะจอดชั้นที่กำหนดไว้เท่านั้นและก่อนที่จะเข้าถึงไปยังตู้แรค ผ่านขบวนการรักษาความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่งโดย นำบัตรที่แลกไว้ก่อนหน้ามาเปลี่ยนเป็นบัตรที่ Access เข้าห้อง IDC โดยตรงกับเจ้าหน้าที่ NOC แต่ละชั้น เพื่อการรักษาความปลอดภัย 10 ขั้นตอนดังที่กล่าวมาข้างต้น
การเข้าถึงตู้แรคของลูกค้าแต่ละราย จะถูกกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงแยกจากกันโดยเด็ดขาด และหากลูกค้ารายใดต้องการพื้นที่ส่วนตัว (privacy) สามารถกันพื้นที่เฉพาะ (Cage) ได้ตามความต้องการ
CSL ให้บริการศูนย์ข้อมูลตั้งแต่ปี 1998 มีประสบการณ์ให้การให้บริการศูนย์ข้อมูลมากว่า 21 ปี ปัจจุบัน CSL มีศูนย์ข้อมูลอยู่ทั้งหมด 11 ศูนย์ 9 สถานที่กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา และในกรุงเทพก็มีให้เลือกทั้งในกรุงเทพชั้นใน และปริมณฑล ความจุรวมกันมากกว่า 5 พันตู้แรค โดยในกรุงเทพมีอยู่ 3 ที่ได้แก่ The Cloud ที่รัชดา-รามอินทรา, CW Tower ถ.รัชดาภิเษกและ CAT Tower บางรัก
CSL ให้ความสำคัญเรื่องมาตรฐานศูนย์ข้อมูลอย่างจริงจัง นอกจากการออกแบบอาคารตามมาตรฐานที่อยู่ในระดับ Tier 3 และได้ผ่านการรับรองตามมาตรฐานที่สำคัญระดับโลก อาทิเช่น ISO 9001, ISO 20000-1, ISO 27001, ISO 22301, ISO 50001, ISO 14001 และ CSA-STAR ช่วยสร้างความมั่นใจในมาตรฐานและการให้บริการได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ภายในศูนย์ข้อมูลของ CSL ยังมีบริการ Disaster Recovery Site (DR Site) สำหรับธุรกิจที่ต้องการพื้นที่สำรองเพื่อรองรับเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ทำให้ไม่สามารถเข้าไปทำงานที่สำนักงานได้ หรือปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆที่ส่งผลให้ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ โดยได้จัดเตรียมพื้นที่ปฏิบัติงาน, โต๊ะ-เก้าอี้ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อาทิเช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง, โทรศัพท์ และคอมพิวเตอร์ ให้สำหรับลูกค้าที่ต้องการเช่าพื้นที่ทำงาน ทั้งแบบชั่วคราวและแบบระยะยาว (รายปี)
นอกเหนือจากบริการศูนย์ข้อมูลแล้ว CSL ในฐานะผู้ให้บริการ One Stop ICT Service แบบครบวงจร ยังมีบริการอย่าง Managed Services ที่หลากหลาย ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้งหรือย้ายระบบตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมดูแลระบบให้หลังการขาย และ System Integration นำเสนอโซลูชั่นครบวงจรแบบเบ็ดเสร็จ ให้ลูกค้าเลือกได้ตามตามความต้องการในราคาที่เข้าถึงได้
สำหรับลูกค้าองค์กรที่สนใจบริการ CSL Data Center สามารถติดต่อสอบถามได้ที่เบอร์ 02-263-8185 หรืออีเมล์ presales@csl.co.th