แอปเปิลเปิดตัว iPhone รุ่นเรือธงสเป็กจัดเต็มประจำปีนี้ โดยมาในชื่อ iPhone 11 Pro สำหรับรุ่นหน้าจอ 5.8 นิ้ว (ความละเอียด 2436x1125 พิกเซล, 458 ppi) และ iPhone 11 Pro Max สำหรับรุ่นหน้าจอ 6.5 นิ้ว (ความละเอียด 2688x1242 พิกเซล, 458 ppi) iPhone รุ่น Pro มีตัวเลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีใหม่ เขียวมิดไนท์กรีน และสามสีเดิมคือ ทอง, เทาสเปซเกรย์ และเงิน
หน้าจอเป็น OLED ทรูโทน ซึ่งแอปเปิลเรียกว่า Super Retina XDR ส่วนระบบเสียงรองรับ HDR10, Dolby Vision และ Dolby Atmos มีซีพียู A13 Bionic และ Neural Engine รุ่นที่ 3 ที่แอปเปิลชูจุดขายคือแยกส่วนการทำงานด้าน Machine Learning และประหยัดพลังงานมากขึ้น โดย iPhone 11 Pro อยู่ได้นานกว่า iPhone Xs 4 ชั่วโมง ส่วน iPhone 11 Pro Max อยู่ได้นานกว่า iPhone Xs Max 5 ชั่วโมง
มีอแดปเตอร์ที่ให้มาในกล่องเป็น Fast Charge 18 วัตต์ แบบ USB-C
กล้องหลังมี 3 ตัว ได้แก่ Wide 12MP f/1.9, Telephoto 12MP f/2.0 และ Ultra Wide 12MP f/2.4 มุมมอง 120 องศา
กล้องหลัง 3 ตัวยังช่วยให้ภาพใน Night Mode มีความชัดเจนมากขึ้นด้วย
ตัวกล้องหลังยังมีลูกเล่นที่เรียกว่า Deep Fusion ในการประมวลผลภาพร่วมกับ Machine Learning ในชิป A13 Bionic ซึ่งจะมีให้ใช้งานในอัพเดตซอฟต์แวร์ที่จะออกมาปลายปี ตัวอย่างที่นำเสนอคือการรวมภาพ 9 ภาพเพื่อให้ได้ช็อตที่ดีที่สุด โดยมี 4 ภาพที่เก็บไว้ก่อนกดชัตเตอร์ และ 4 ภาพที่เก็บเพิ่มหลังกดชัตเตอร์ รวมกับภาพหลักที่มี exposure ยาว ออกมาเป็นภาพที่เก็บรายละเอียดได้มากที่สุด
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์สำหรับแก้ไขวิดีโอภาพแอป Photos โดยสามารถปรับแก้ไขได้ทั้ง exposure, อุณหภูมิสี, คร็อป และสเกลภาพ
ข้อมูลอื่น: Face ID ทำงานเร็วขึ้น 30% และจับภาพจากหลายมุมมองได้มากขึ้น, รองรับ Wi‑Fi 6 (802.11ax) ส่วนการเชื่อมต่อยังเป็น Lightning เหมือนเดิม
ความจุมีให้เลือก 3 ขนาด ทั้ง iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ได้แก่ 64GB, 256GB และ 512GB
iPhone 11 Pro ราคาเริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์ และ iPhone 11 Pro Max เริ่มต้นที่ 1,099 ดอลลาร์ (ราคาเท่ากับ Xs และ Xs Max ช่วงเปิดตัวในปีที่แล้ว) ในอเมริกาเปิดจองตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 กันยายนเป็นต้นไป เริ่มส่งมอบ 20 กันยายน