การปรับเงื่อนไขบางอย่างเพื่อให้สอดคล้องกับกฏหมายเป็นเรื่องจำเป็น เช่นเดียวกับ Uber และ Lyft ที่ต้องปิดไม่ให้คนขับรับงานในพื้นที่ที่มีผู้ใช้บริการน้อยและในบางช่วงเวลา เพื่อให้สอดคล้องกับกฏระเบียบใหม่ที่ทาง Taxi and Limousine Commission (TLC) ของนครนิวยอร์กร่างขึ้นมา
กฏหมายใหม่กำหนดเพดานปริมาณรถยนต์สูงสุดที่ให้บริการ Ride-Sharing, กำหนดอัตราจ่ายค่าตอบแทนขั้นต่ำให้กับคนขับ โดยอ้างอิงจากเวลาที่ผู้ขับให้บริการกับผู้โดยสาร รวมถึงต้องจำกัดเวลาการวนขับรถหาผู้โดยสารไปเรื่อย ๆ (Cruising) และการจอดรอผู้โดยสารด้วย
กฏหมายนี้เริ่มบังคับใช้มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้ทางบริษัทต้องช่วยลดพฤติกรรมการขับหาผู้โดยสารไปเรื่อย ๆ จากทั้งหมด 41% ในปัจจุบันลง 5% ในช่วงเริ่มต้นแล้วเพิ่มเป็น 10% ต่อไป หากฝ่าฝืนต้องให้มีการลงโทษไม่ว่าจะเสียค่าปรับแม้กระทั่งไม่สามารถรับผู้โดยสารในเมืองนั้น ๆ ได้อีก รวมทั้งจำกัดปริมาณคนขับที่จะวิ่งรถหาผู้โดยสารอีกด้วย
ปีที่แล้ว ทาง Taxi and Limousine Commission (TLC) ของเมืองนิวยอร์กได้ตรากฏหมายหลายตัวที่สร้างความท้าทายให้บริษัทที่ให้บริการ Ride-share เป็นอย่างมาก เพราะนิวยอร์กนั้นเป็นเมืองใหญ่ที่สร้างรายได้ให้บริการเช่นนี้เป็นอันดับต้น ๆ อยู่แล้ว โดยให้เหตุผลว่าป้องกันการที่ Uber กับ Lyft จะเข้ามาครองตลาดมากเกินไปและหวังลดการจราจรคับคั่งในเขตแมนฮัตตันลง
ทาง Uber, Lyft เองก็ต่อต้านกฏนี้โดยทาง Uber เห็นว่าเป็นกฏหมายที่ทาง TLC ร่างขึ้นมาเพื่อขัดขวางการหารายได้ของคนขับ Uber รวมทั้งตัดโอกาสชาวนิวยอร์กที่รายได้น้อยหรืออาศัยในพื้นที่ห่างไกลแล้วไม่มีแท็กซี่ให้บริการในการหารายได้เสริม
ฝั่งของ Lyft เองก็เริ่มปฏิบัติตามกฏหมายนี้ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาแล้ว รวมทั้งทั้งสองบริษัทก็หยุดรับคนขับใหม่ในนิวยอร์กเพิ่มอีกด้วย ฝ่ายสหกรณ์รถแท็กซี่แห่งเมืองนิวยอร์กเองก็ได้กล่าวว่าทาง Uber นั้นเป็นบริษัทที่สร้างความกลัวและขาดการให้ข้อมูลกับผู้ขับรถแท็กซี่ในนิวยอร์กรวมทั้งมีนโยบายที่ละโมบอีกด้วย