เปิดวิสัยทัศน์ นิสสัน มอเตอร์ การนำเทคโนโลยีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับโลกมาสู่ไทย

by blognonetomorrow
3 October 2019 - 07:16

รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเริ่มเป็นหนึ่งในตัวเลือกของผู้บริโภคที่จะซื้อรถยนต์สักคันหนึ่ง เพราะด้วยจุดเด่น หลักๆ ที่ผู้บริโภคมักจะมองหาอย่างเรื่องค่าใช้จ่ายของพลังงานไฟฟ้าที่มากกว่าค่าน้ำมันเชื้อเพลิง และไม่มีการปล่อยมลพิษ แต่จริงๆ แล้วมันมีอะไรมากกว่านั้น วันนี้เรามาลองทำความรู้จักกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้มากขึ้นไปกับ ราเมช นาราสิมัน ประธานนิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย กัน

ขับสนุก-ลุกนั่งสบาย ด้วยยานยนต์สมรรถนะสูง

โดยปกติแล้วผู้บริโภคต่างเห็นประโยชน์จากรถยนต์พลังงานไฟฟ้าว่าสามารถช่วยประหยัดน้ำมันได้ เพราะไม่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน ไม่มีการสันดาปภายใน จึงมีอัตราการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ และไม่มีท่อไอเสีย และด้วยการเป็นรถไฟฟ้าที่ได้พลังงานเป็นยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่ พร้อมส่งอัตราเร่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ขับเคลื่อนด้วยทำให้พละกำลังที่ส่งออกมาทำได้ค่อนข้างสูงและใช้เวลาน้อยมาก เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่มีขนาด และน้ำหนักใกล้เคียงกัน

"รถยนต์พลังงานไฟฟ้าไม่ได้มีจุดเด่นที่หลายคนเข้าใจเพียงแค่นี้เท่านั้น เพราะที่นิสสันเราได้มีการพัฒนา นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่อัจฉริยะ เพื่อส่งมอบรถยนต์ที่สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัย และสนุกมากกว่าเดิม ซึ่งส่วนตัวผมเองคิดว่าไม่ว่าจะขับ นิสสัน ลีฟ (Nissan LEAF) หรือ นิสสัน จีที-อาร์ (Nissan GT-R) นั้นก็ขับสนุกและมั่นใจเรื่องความปลอดภัยไม่แพ้กัน" ราเมช นาราสิมัน ประธานบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

ในประเทศไทย นิสสัน ได้เผยโฉมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% อย่าง นิสสัน ลีฟ (Nissan LEAF) และนำออกสู่ตลาดเพื่อผู้บริโภคชาวไทยเมื่อไม่นานมานี้ โดยได้มีการผสานเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอัจฉริยะ นิสสัน อินเทลลิเจ้นท์ โมบิลิตี้ (Nissan Intelligent Mobility) อันเป็นวิสัยทัศน์ของนิสสันในการขับเคลื่อนผู้คนไปสู่โลกที่ดีกว่า โดยมาพร้อม e-Paddle หรือคันเร่งอัจฉริยะที่เมื่อผ่อนคันเร่งรถยนต์ก็จะค่อยๆ เบรก โดยในอนาคตเราอาจจะได้เห็นเทคโนโลยีสุดล้ำอีกมากมายจาก นิสสัน อย่าง ProPILOT ระบบขับขี่อัตโนมัติ และ ProPILOT Park การถอยจอดอัตโนมัติอัจฉริยะ ก็เป็นได้

e-POWER เทคโนโลยี หนึ่งเดียวของนิสสัน

นอกจากรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% อย่าง นิสสัน ลีฟ แล้ว กลยุทธ์ในการผลักดันการขับเคลื่อนระบบพลังงานของนิสสัน ยังมีมากไปกว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ เพราะนิสสันยังได้ทำการตลาดรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานพลังงานไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าอีกรูปแบบหนึ่ง ภายใต้เทคโนโลยีแบบเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้าจ่ายสู่แบตเตอรี่

"รถยนต์ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีแบบอัจฉริยะ อี-เพาเวอร์ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในตลาดของประเทศญี่ปุ่น โดยมียอดขายถึง 2 ใน 3 ของยอดขายรถยนต์นิสสันทั้งหมดในประเทศประเทศญี่ปุ่นนับแต่เปิดตัวในปี 2017 สาเหตุที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เพราะเป็นเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อผู้บริโภคไปยังรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% และไม่ใช่เครื่องยนต์ Hybrid แบบเดิมๆเหมือนที่ตลาดมีในตอนนี้ และนิสสันจะนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยด้วยเช่นกัน" ราเมซ กล่าว

และเพื่อให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นได้มากกว่าแค่ยานพาหนะเพียงเพื่อการสัญจร นิสสัน ได้มีการพัฒนาให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสามารถทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรองที่สามารถแหล่งสำรองพลังงานไฟฟ้ากลับคืนสู่ระบบ ในอาคารบ้านเรือนที่ผ่านเทคโนโลยีที่เรียกว่า Vehicle-to-Grid ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับบ้าน อาคารสำนักงาน หรือแม้แต่สนามกีฬา อย่าง Johan Cruijff Arena ประเทศเนเธอร์แลนด์ หรือคืนไฟฟ้ากลับสู่ระบบกริดพลังงาน ในยามที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้า กรณีเกิดภัยพิบัติหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่างๆ

Brain-to-Vehicle (B2V) เทคโนโลยียานยนต์แห่งการขับขี่โลกอนาคต

“เทคโนโลยี Brain-to-Vehicle (B2V) เทคโนโลยีถอดรหัสสมองของมนุษย์โดยจับสัญญาณสมองก่อนที่ผู้ขับขี่จะลงมือทำการต่างๆ เช่น หมุนพวงมาลัย หรือเหยียบคันเร่ง เทคโนโลยีที่เปรียบเสมือนตัวช่วยของผู้ขับขี่จะทำให้การกระทำนั้นเกิดได้รวดเร็วขึ้น ถือเป็นการช่วยเร่งปฏิกริยาตอบสนองของผู้ขับขี่และทำให้สามารถขับขี่ได้ดีมากยิ่งขึ้น" ราเมช เสริม

Invisible-to-Visible (I2V) เทคโนโลยีการเชื่อมต่อของยานยนต์ในอนาคตที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่ “มองเห็นในสิงที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า”

การผสานโลกของความเป็นจริงและโลกเสมือนจริง จากการเชื่อมต่ออีกหนึ่งเทคโนโลยีที่นำน่าสนใจคือ เทคโนโลยี Invisible-to-Visible ด้วยการรวมข้อมูลจากเซ็นเซอร์ทั้งภายนอกและภายในรถเข้ากับข้อมูลจากคลาวด์ เพื่อติดตามสภาพแวดล้อมของยานพาหนะแบบเรียลไทม์ พร้อมคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า – เช่น การแสดงเหตุการณ์บริเวณมุมต่างๆ โดยรอบ หรือแม้แต่ภายหลังอาคารและแสดงผลผ่านอวตารทำให้การสื่อสารใกล้เคียงกับมนุษย์เพื่อให้ผู้ขับขี่รู้สึกสนุกสนาน และปลอดภัย นวัตกรรม I2V บนโลกเสมือนจริง เปิดโอกาสให้การบริการและการสื่อสารที่ไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งทำให้การขับขี่สะดวกสบายและน่าตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น “ด้วยการช่วยให้คุณมองเห็นสิ่งที่มองไม่เห็น เทคโนโลยี I2V นี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจและทำให้การขับขี่สนุกยิ่งขึ้น

ด้วยเทคโนโลยีก้าวล้ำที่นำเสนอมาทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า นิสสัน มีการพัฒนาเพื่อทำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ ๆ ออกสู่อุตสาหกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในประเทศไทยนอกจากนิสสัน ลีฟ แล้ว ยังมีรถยนต์ Hybrid ในรุ่น Nissan X-Trail อีกให้ทุกท่านได้ทดลองขับกันอีกด้วย

สรุป

ปฏิเสธไม่ได้ว่า นิสสัน คือหนึ่งในผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในตอนนี้อย่างแท้จริง เพราะยอดขายรวม นิสสัน ลีฟ จากทั่วโลกกว่า 420,000 คัน ก็ถือเป็นเบอร์หนึ่งในปัจจุบัน และน่าจะยากที่จะมีแบรนด์ใดมาแข่ง ดังนั้นต้องรอดูกันต่อไปว่าสเต็ปต่อไปของ นิสสัน จะนำเอาเทคโนโลยีล้ำสมัยอะไรนอกเหนือไปจาก นิสสัน ลีฟ ออกมาให้เราได้ยลโฉมกันอีกเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากตอนนี้ทุกค่ายผู้ผลิตรถยนต์ก็เร่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ากันอย่างเต็มที่

Blognone Jobs Premium