Google เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ Pixel 4 ที่เรียกว่าตรงตามข่าวลือทุกอย่าง ซึ่งปีนี้ Google ก็ยังเน้นเรื่องกล้องอยู่เช่นเดิม แต่ก็เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่าง Motion Sense ที่ไม่เคยมีในสมาร์ทโฟนรุ่นใดมาก่อน เป็นการใช้เซ็นเซอร์เรดาร์เข้ามาเพื่อรับการควบคุมจากผู้ใช้โดยไม่ต้องแตะเครื่องเลย
Motion Sense หรือในชื่อเดิมคือ Project Soli (อ่านว่า โซ-ลิ) เป็นเทคโนโลยีที่ Google พัฒนาขึ้นเอง โดยในฮาร์ดแวร์รุ่นต้นแบบมีขนาดใหญ่มาก จากนั้นก็ได้ย่อส่วนให้เล็กลงราวตั๋วรถเมล์ และสุดท้ายก็เล็กจนสามารถยัดไว้ในขอบบนของสมาร์ทโฟนได้ โดยผู้ใช้สามารถปัดเพื่อปิดเสียงเรียกเข้าหรือนาฬิกาปลุกได้ หรือปัดเปลี่ยนเพลงที่เล่นอยู่
ทั้งนี้ Pixel 4 ฉลาดตรงที่สามารถรู้ได้ว่ามือของผู้ใช้ที่แกว่งผ่านไปนั้นคือการตั้งใจปัด หรือเป็นเพียงการแกว่งมือผ่านเครื่องไปเฉยๆ โดยจากวิดีโอบนเวทีแสดงให้เห็นว่าหากเราถือแก้วน้ำผ่านบนมือถือไป จะไม่ถือเป็นการปัด หรือตอนนาฬิกาปลุกเสียงดัง พอผู้ใช้เอามือเข้าไปใกล้ๆ เครื่อง เสียงปลุกก็จะเบาลงอัตโนมัติ
นอกจากนี้ Motion Sense ยังมีประโยชน์เวลาเราต้องการเช็คมือถือเร็วๆ ด้วย เพียงแค่ยื่นมือเข้าไปหน้าจอก็จะติดเอง และเมื่อเอามือออกก็จะดับหน้าจอทันที
ต่อมาเป็นฟีเจอร์ Google Assistant ที่ได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติม โดยขณะนี้ผู้ใช้สามารถพูดกับ Assistant ได้อย่างต่อเนื่องและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ต้องเรียก Hey, Google ทุกครั้งแล้ว เพียงแค่พูดไปเรื่อยๆ ก็สั่งงานได้ลื่นไหล
เรื่องสำคัญที่สุดของ Pixel 4 ก็แน่นอนว่าต้องเป็น "กล้อง" ซึ่ง Marc Levoy นักวิจัยจาก Google ระบุว่าสิ่งสำคัญของการถ่ายภาพมีด้วยกัน 4 อย่างคือ วัตถุที่จะถ่าย, แสง, เลนส์ และบอดี้กล้อง แต่ในมุมของ Google ได้เปลี่ยนบอดี้กล้องเป็น "ซอฟต์แวร์" เพราะ Google ใช้สิ่งที่เรียกว่า "computation photography" หรือการถ่ายภาพแบบใช้การคิดคำนวณเข้ามาเป็นตัวแปรหลักในการถ่ายภาพเป็นอย่างมาก เห็นได้จาก HDR+ หรือ Night Sight ก็ล้วนเป็นผลจากการใช้ซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยทั้งสิ้น
สำหรับฮาร์ดแวร์กล้องก็เป็นไปตามข่าวหลุดก่อนหน้านี้คือมาพร้อมเลนส์คู่ที่เป็นเลนส์เทเล ไม่ใช่เลนส์ไวด์ และยังใช้การซูมที่เอาซอฟต์แวร์เข้ามาช่วย แปลว่าหากเราต้องการซูม ให้ซูมตั้งแต่ก่อนถ่ายเลย ไม่ใช่มาครอปรูปเอาตอนหลัง เพราะผลลัพธ์จะต่างกันมาก
ในปีนี้ Google พัฒนากล้องของ Pixel 4 ในสี่ด้านใหญ่ๆ ด้วยกัน ดังนี้
Live HDR+ กล้องของ Pixel 4 จะแสดงภาพ HDR+ ได้ตั้งแต่ก่อนถ่ายเลย ทำให้เราเห็นภาพที่จะได้จริงๆ ว่าเป็นอย่างไร อีกทั้งมีโหมด Dual Exposure ที่ให้ผู้ใช้สามารถปรับความสว่าง (exposure) และเงา (shadow) ได้ก่อนถ่าย ทำให้สร้างสรรค์ภาพแนวแปลกๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น
Learning-based white balancing สมดุลแสงขาวที่ถือเป็นอีกเรื่องยากในวงการถ่ายภาพ เช่นการถ่ายภาพหิมะที่มักจะได้ภาพออกสีอมฟ้า หรือการถ่ายภาพในถ้ำน้ำแข็งที่ทำให้หน้าคนกลายเป็นสีน้ำเงิน แต่ Pixel 4 สามารถจัดการกับสถานการณ์อย่างนี้ได้และให้สีที่ตรงกับความจริง ทั้งหมดนี้เกิดจากการใช้ machine learning เข้ามาช่วย
Wider-range portrait mode โหมดถ่ายพอร์เทรตก็ได้รับการปรับปรุง โดยสร้างโบเก้ได้สวยงามขึ้น และรองรับการถ่ายภาพวัตถุใหญ่ๆ เช่นรถจักรยานยนต์ได้แล้ว นอกจากนี้การถ่ายภาพที่มีเส้นผมหรือขนสัตว์ที่อาจจะเป็นโจทย์ยากสุดของโหมดพอร์เทรตในมือถือทุกรุ่นก็ทำได้ดียิ่งขึ้น
Night Sight with astrophotography โหมดถ่ายกลางคืน Night Sight ได้รับการปรับปรุงให้ถ่ายติดดาวได้แล้ว โดยเปิดหน้ากล้องได้นานถึง 4 นาที (ต้องใช้ขาตั้ง หรือหาที่วางดีๆ) แต่การเปิดหน้ากล้องนานๆ จะมาพร้อมกับ hot pixels ที่เป็นปัญหาของกล้องทั่วไป โดย Pixel 4 จะใช้ซอฟต์แวร์มาลบ hot pixels เหล่านี้ออกให้อัตโนมัติ
เทียบการถ่ายภาพดาวจาก Pixel 3 และ Pixel 4 (ไม่ทราบว่าเพราะอะไรถึงถ่ายคนละเวลากัน)
สุดท้ายยังมีฟีเจอร์เล็กๆ แต่น่าจะมีประโยชน์คือแอพอัดเสียงที่ปกติเราอัดไว้เยอะๆ แล้วสุดท้ายก็หาคลิปเสียงที่ต้องการไม่เจอ แต่ตอนนี้ Pixel 4 สามารถถอดเสียงออกมาเป็นตัวหนังสือให้ได้สดๆ พร้อมสำหรับการค้นหาภายหลัง
Pixel 4 มาพร้อมหน้าจอ 5.7 นิ้ว ความละเอียด 1080p ส่วน Pixel 4 XL หน้าจอ 6.3 นิ้ว ความละเอียด QHD ทั้งสองรุ่นเป็นหน้าจอ 90Hz ซีพียู Snapdragon 855 แรม 6GB ความจุ 64 หรือ 128GB
เปิดให้สั่งจองแล้ววันนี้ มีสามสีคือดำ, ขาว และสีส้มลิมิเต็ด โดย Pixel 4 ราคาเริ่มต้น 799 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 24,000 บาท และ Pixel 4 XL เริ่มต้นที่ 899 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 27,000 บาท