คุยกับ “กระทิง พูนผล” ครบ 1 ปีกับ KBTG และการตั้ง 2 บริษัทใหม่ KAITAI Tech และ KASIKORN X

by sponsored
30 January 2020 - 12:33

ช่วงนี้แวดวงธนาคารบ้านเรามีความเคลื่อนไหวน่าสนใจ โดยเฉพาะฝั่งงานด้านดิจิทัล-นวัตกรรม ล่าสุดธนาคารกสิกรไทยเพิ่งประกาศตั้งบริษัทลูกอีก 2 แห่งคือ KAITAI Technology ที่ประเทศจีน และ KASIKORN X ที่เน้นสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นอกเหนือจากที่กลุ่มบริษัท KBTG ทำอยู่

Blognone มีโอกาสพูดคุยกับ “คุณกระทิง” เรืองโรจน์ พูนผล ประธานของ KASIKORN Business- Technology Group หรือ KBTG ที่ประกาศตัวว่าจะไปนั่งเป็นประธานของ KAITAI Technology ในประเทศจีนด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง ถึงความจำเป็นของธนาคารกสิกรไทยในการตั้งบริษัทใหม่เพิ่มอีก

ทำงานที่ KBTG มาครบ 1 ปีแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง

เหนื่อยครับ (หัวเราะ) ปีแรกของการมาทำงานที่ KBTG ต้องบอกว่าเน้นที่เรื่องการสร้างรากฐานให้แข็งแกร่ง ปรับปรุงการดำเนินงาน (operation) ให้มีเสถียรภาพ เพื่อให้ไม่ต้องกลัวเรื่องปัญหาระบบล่มตอนสิ้นเดือนอีก

พอมาถึงปี 2020 จะเป็นปีที่เราเริ่มขยายตัวจากธุรกิจเดิมๆ แล้ว ดังจะเห็นได้จากการประกาศตั้งบริษัทใหม่อีก 2 แห่ง ทำงาน 2 เรื่องที่สำคัญสำหรับอนาคต

นอกจากนี้จะขยาย API ของแบงค์สำหรับเปิดให้พาร์ทเนอร์เข้ามาเชื่อมต่อ เพราะมานั่งปรับระบบ (customize) ท่อให้พาร์ทเนอร์ทีละรายคงไม่ไหว สู้ทำ Open API ให้เป็นมาตรฐานเลยดีกว่า เรามี API แล้วประมาณ 50 ตัว ตั้งเป้าเปิดให้ได้ครบ 100 ตัว

ตอนนี้ KBTG มีบริษัทลูกทั้งหมดกี่แห่งแล้ว

ก่อนหน้านี้ KBTG มีบริษัทลูกทั้งหมด 5 รายคือ KServe, KPro, KSoft, KLabs และ KBTG Secretariat ที่ดูแลการบริหารตรงกลาง

ปีนี้เราจะตั้งอีก 2 แห่งคือ KAITAI Tech กับ KASIKORN X

KAITAI Tech นี่ชัดเจนว่าเราต้องการเข้าไปในประเทศจีน มีเป้าหมายอยู่ 2 เรื่องคือ หานักพัฒนาจีนมาเสริมทัพของทีม เพราะคนไทยอย่างเดียวไม่พอ กับการต่อท่อเพื่อหานวัตกรรมจากฟินเทคจีน ที่มีอยู่เยอะมาก

เรื่องการจ้างคนเป็นอีกปัญหาที่เราเจออยู่ ต้องบอกว่า KBTG ไม่มีปัญหาเรื่อง Head Count หรือโควต้าการจ้างพนักงานเลย มีแต่ Underhiring คือจ้างคนเข้ามาไม่ทันกับที่ต้องการ ตอนนี้เราขาดคนอีก 900 ตำแหน่ง ต้องทำทุกทางให้ได้คนมา แถมคนไทยอย่างเดียวไม่เพียงพอแล้ว นอกจาก KAITAI Tech ที่จะไปจ้างคนจีนมาทำงาน ตอนนี้เรามีศูนย์พัฒนาในเวียดนามแล้วด้วย ซึ่งมีพนักงานประมาณ 100 คน หากใครสนใจร่วมงานกับทาง KBTG ที่นี่เลย: Recruitment@kbtg.tech

พอเริ่มมีพนักงานจากหลากหลายเชื้อชาติ ไม่ใช่คนไทยอย่างเดียว เรื่องวัฒนธรรมการทำงานก็ต้องปรับให้ทันสมัยขึ้น องค์กรต้องเป็น Multi-Culture และ Multi-Location ด้วย

ความแตกต่างของ KASIKORN X กับ KBTG มีอะไรบ้าง

KASIKORN X เป็นอีกโมเดลคือเราอยากทำอะไรที่ใหม่มากๆ ไปไกลกว่าโมเดลของธนาคารเดิม ตอนนี้ KBTG ทำเรื่อง Payment หรือ Lending อยู่แล้ว แต่นั่นอยู่บนพื้นฐานของแบงค์เดิม แค่เอาเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพดีขึ้น

สิ่งที่ KASIKORN X จะทำคือคิดบริการทางการเงิน (Financial Service) ใหม่ๆ เริ่มจากศูนย์เลย เริ่มจากแนวคิดว่าถ้าเราต้องสร้างบริการการเงินรูปแบบใหม่ๆ ในยุคนี้ เราจะสร้างมันขึ้นมาอย่างไร ตรงนี้คงต้องใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ๆ กว่าจะเห็นผล และเราจะไม่ประกาศข่าวใดๆ หากยังไม่มีผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้จริง ซึ่งปีนี้น่าจะเข็นออกมาได้สักตัวหนึ่ง

นอกจากตัวผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันแล้ว วัฒนธรรมองค์กรของ KASIKORN X จะรันแบบสตาร์ตอัพเลย โมเดลการจ่ายค่าตอบแทนจะอิงตามผลงานของบริษัท แน่นอนว่าเสี่ยงกว่า แต่เราต้องการคนที่คิดอีกแบบ คิดแบบสตาร์ตอัพจริงๆ เสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูง เคลื่อนที่เร็ว ในขณะที่ KBTG ยังมีความเป็นแบงค์อยู่เยอะ

ตอนนี้ KASIKORN X มีคนทำงานอยู่ประมาณ 4 คน ตั้งเป้าว่าจะได้สัก 15-20 คน ยังไม่มีคนมาเป็น CEO ก็กำลังมองหาอยู่

ทำไมต้องใช้ชื่อ KASIKORN X

จริงๆ เราจดทะเบียนอย่างเงียบๆ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560 แต่ยังไม่ได้ประกาศ ส่วนทำไมถึงชื่อ KASIKORN X นั้น ขอยังไม่บอกครับ และส่วนของ KAITAI Tech กำลังอยู่ระหว่างจดบริษัทในประเทศจีน

ความกังวลในตอนนี้คืออะไรบ้าง

ตอนนี้ไม่ค่อยกลัวปัญหาเรื่องระบบล่มแล้ว สิ่งที่กลัวคงเป็นการเข้ามาของผู้เล่นหน้าใหม่ๆ จากอุตสาหกรรมอื่น เข้ามา Disrupt เรา

ผมเคยเป็นคนที่ลงทุนในบริษัทที่ไป disrupt คนอื่น ก็รู้ดีว่าคนพวกนี้บทจะโผล่มา เขามาเลยแบบไม่ให้ทันตั้งตัว ตรงนี้ล่ะครับที่น่ากลัวมากกว่า

สิ่งที่ไม่กลัว คือ ผู้เล่นที่เป็นธนาคารหน้าใหม่ๆ ที่เป็น Pure Digital Bank คือมีแต่ธนาคารอย่างเดียว เพราะ KBank เองมีฐานลูกค้าดิจิทัลบน K PLUS ถึง 12 ล้านคนแล้ว คู่แข่งต้องมาสร้างใหม่หมด ตามเราให้ทันไม่ใช่เรื่องที่ง่าย

ฝั่งของ Digital Lending หรือการปล่อยกู้ดิจิทัลรายย่อยก็ไม่กลัวนัก เพราะการปล่อยกู้ต้องไปวัดกันที่ว่าปล่อยกู้ได้จริงๆ ไหม และเป็นหนี้เสียหรือไม่ ซึ่ง KBank มีประสบการณ์ด้านปล่อยกู้มายาวนาน ช่วยแก้ปัญหาความเสี่ยงตรงนี้ได้ ถ้าเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ปล่อยกู้เลย แถมต้องมาปล่อยกู้รายย่อยที่ไม่มีอะไรค้ำประกันอีก ก็ไม่ง่าย

แต่สิ่งที่กลัวคือผู้เล่นที่มาจากอุตสาหกรรมอื่น เป็น Non-Bank ที่ใช้ฐานลูกค้าที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ แล้วมาขอไลเซนส์แบงค์ ตัวอย่างในสิงคโปร์ก็มีอยู่หลายราย เช่น Grab ที่จับมือกับ SingTel มาขอไลเซนส์แบงค์ เป็นต้น

Blognone Jobs Premium