Digital Foundry ชำแหละเทคโนโลยีภาพในเดโมเกม Final Fantasy VII Remake ที่มีความยาวประมาณ 45-60 นาที โดยจะเป็นเส้นเรื่อง Avalance ของ Cloud ใน Mako Reactor 1 ไปจนจบที่บอส Scorpion และมีขนาดเพียง 8GB จากตัวเกมเต็มที่คาดว่าจะมีขนาดประมาณ 100GB
ตัวเกมใช้ Unreal Engine 4 (UE4) พร้อมเทคนิค dynamic resolution ที่ความละเอียดของภาพจะเปลี่ยนแปลงได้เพื่อให้เฟรมเรตคงที่ที่ 30 FPS โดยความละเอียดสูงสุดจะอยู่ที่ 2880x1620 บน PS4 Pro และ 1920x1080 บน PS4 รุ่นธรรมดา ซึ่งสูงกว่าเกมอื่นๆ ที่ใช้ UE4 บนเครื่องคอนโซล
และจากการทดสอบของ Digital Foundry พบว่าตัวเกมทำได้ดีพอสมควรในการคงความละเอียดไว้ที่ 1620p ที่ 30FPS ยกเว้นเพียงแต่ฉากสู้บอส Scorpion ที่ความละเอียดอาจตกมาที่ 2304x1296 ได้บ้าง แต่เพราะตัวเกมใช้การลบรอยหยักแบบ TAA (Temporal Anti-Aliasing) ลบรอยหยักที่เกิดจากการลดความละเอียดของภาพ จึงไม่รู้สึกขัดหูขัดตาสักเท่าไร
ตัดมาที่ในรุ่น PS4 ธรรมดา ระบบ dynamic resolution ก็ไม่ทำให้ความละเอียดภาพลดลงเท่าไรนอกเหนือไปจากช่วงสู้กับบอส Scorpion เช่นเดียวกัน โดยเอฟเฟกต์อื่นๆ จากรุ่น Pro เช่น motion blur, depth of field และ volumetrics lighting ก็ยังอยู่ครบถ้วน และไม่ว่าทาง Digital Foundry จะพยายามใช้เวทย์ หรือต่อสู้ให้เอฟเฟกต์บนหน้าจอเยอะยังไง ตัวเกมก็ยังคงเฟรมเรตไว้ที่ 30 FPS ได้แบบสบายๆ เมื่อเทียบกับเกม Kingdom Hearts 3 ที่ใช้เอนจิ้นเดียวกัน แต่ได้ความละเอียดเพียง 900p บน PS4 ธรรมดา และ 1296p ใน PS4 Pro แถมยังมีเฟรมเรตที่ไม่สม่ำเสมอ
ตัวเกมเวอร์ชั่น Remake นำบรรยากาศเดิมๆ ของเกมกลับมาอย่างครบถ้วน คัตซีนเปิดเกมถูกนำมาทำใหม่เป็น CG แบบ pre-rendered พร้อมฉากอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ Cloud ยืนมองเตาปฏิกรณ์ Mako ก็กลับมาในรูปแบบ CG ก่อนจะใช้เอฟเฟกต์ไอน้ำ เป็นตัวซ่อนการเปลี่ยนภาพจาก CG มาเป็นตัวเกมแบบ real-time ได้อย่างแนบเนียน
นอกจากนี้ทั้งเอฟเฟกต์แสงไฟที่ส่องผ่านมลพิษในสลัมของ Midgar แบบ volumetrics เอฟเฟกต์เส้นผมของตัวละคร และสะเก็ดไฟแลบแบบ particle effects จากดาบของ Cloud ก็ทำได้ดีเทียบชั้นกับ CG ในหนังภาค Advent Children เลยทีเดียว
Final Fantasy VII จะวางจำหน่ายบน PS4 และ PS4 Pro ในวันที่ 10 เมษายน 2020 โดยจะเป็นเกมเอ็กคลูซีฟบนเครื่อง PS เป็นเวลา 1 ปี
ที่มา - Digital Foundry via Eurogamer