ตอนนี้ทั้งฝั่ง PS5 และ Xbox Series X ก็เปิดตัวสเปกกันไปจนครบแล้ว ถึงแม้ PS5 จะยังไม่เปิดเผยหน้าตา และข้อมูลพอร์ตเชื่อมต่ออย่างละเอียด แต่ข้อมูลสเปกภายในก็อยู่ในจุดที่พอจะเปรียบเทียบกันได้ ลองมาดูกันดีกว่าว่าเครื่องในของทั้งสองค่าย เหมือนหรือต่างกันยังไงบ้าง
ตัวประมวลผลกลาง ทั้งสองค่ายใช้ซีพียู 8 แกน สถาปัตยกรรม Zen 2 ของ AMD แบบคัสตอมเหมือนกัน (ต่างคนต่างสั่ง) แตกต่างกันที่ซีพียูของ Xbox Series X จะมีความเร็วคล็อคที่ 3.8GHz และ 3.6GHz ถ้าทำงานด้วยระบบ SMT (Simultaneous Multithreading เทคโนโลยีประมวลผลพร้อมกันหลายเธร็ดที่ AMD ใช้)
ส่วนซีพียูของ PS5 จะมีความเร็วคล็อคสูงสุดที่ 3.5GHz โดยจะใช้ระบบที่เรียกว่า ‘boost’ ที่ไม่ใช่การเพิ่มความเร็วซีพียูแบบที่เราคุ้นเคยกัน แต่เป็นการจ่ายไฟแบบคงที่ให้กับระบบอยู่ตลอดเวลา (constant power budget) จากนั้นตัวชิปจะมีการตรวจวัดและแบ่งจ่ายไฟไปให้กับส่วนต่างๆ เช่นซีพียู หรือจีพียู ตามความหนักในการประมวลผลในเวลานั้น ทำให้ผู้พัฒนาเกม ไม่ต้องออกแบบเกมโดยมาคอยกังวลกับกระแสไฟที่ขึ้นๆ ลงๆ หรือความร้อนในตัวเครื่องที่สูงจนเกินไป
แรม ทั้ง PS5 และ Xbox Series X จะมีแรม 16GB เท่ากัน ของ PS5 จะมีแบนด์วิธ 448GB/s แต่ของ Xbox Series X จะแยกเป็นแบนด์วิธ 560GB/s ขนาด 10GB กับแบนด์วิธ 335GB/s อีก 6 GB ตรงนี้น่าจะขึ้นอยู่กับการจัดการแรมของทั้งสองค่าย ว่าดีกว่ากันแค่ไหน แต่การมีหน่วยความจำที่มีแบนด์วิธ 560GB/s ของ Xbox Series X ก็น่าจะได้เปรียบอยู่พอสมควร
จีพียูของทั้งสองค่าย ใช้เป็น RDNA 2 เหมือนกัน (ต่างคนต่างสั่งอีกเช่นกัน) แต่ความเร็ว จำนวน TFLOPS และ CU (Compute unit) ไม่เท่ากัน ของ PS5 จะอยู่ที่ 10.28 TFLOPS และมี 36 CUs ที่ความเร็ว 2.23GHz ส่วน Xbox Series X ความสามารถประมวลผลจะอยู่ที่ 12 TFLOPS และมี 52 CUs ที่ความเร็ว 1.825GHz ทั้งสองค่ายรองรับการประมวลผล ray tracing ในระดับฮาร์ดแวร์ PS5 จะใช้ Intersection Engine ส่วน Microsoft จะรองรับ DirectX Ray Tracing
ที่ต่างกันมากอีกส่วนน่าจะเป็นตัวเก็บข้อมูล ที่ Xbox Series X ใช้ SSD NVMe 1TB แบบคัสตอม ที่มีความเร็ว 2.4 GB/s (Raw) ส่วน PS5 ใช้หน่วยความจำ SSD NVMe แบบ PCIe 4.0 ขนาด 825GB ที่มีความเร็วถึง 5.5GB/s (Raw) เลยทีเดียว และ Sony ก็ดูจะสนใจในด้านความเร็วในการโหลดข้อมูล ที่มีผลต่อการโหลดฉากเป็นพิเศษ เพราะจะมีผลต่อการออกแบบเกมในอนาคต ที่ผ่านมา ฉากที่ต้องออกแบบให้คดเคี้ยวหรือมีมุมมองแคบ หรือการที่ตัวละครไม่สามารถเคลื่อนที่เร็วเกินระดับหนึ่งได้ ล้วนมาจากข้อจำกัดด้านความเร็วในการโหลดฉากของฮาร์ดดิสก์
ทาง Xbox โฆษณาฟังก์ชั่น Quick Resume ที่จะเก็บสถานะของเกมที่เล่นค้างไว้ใน SSD และสามารถกลับเข้าเกมในจุดที่หยุดเกมไว้ได้ทันทีโดยไม่ต้องโหลดเกมใหม่ตั้งแต่ต้น แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลว่าจะสามารถเก็บสถานะของเกมไว้ได้พร้อมกันกี่เกม (แต่ในวิดีโอตัวอย่าง โชว์ 5 เกม ลิมิตอาจจะอยู่ที่ 5)
ส่วนการต่อฮาร์ดดิสก์เพิ่ม ทั้งสองเจ้ารองรับฮาร์ดดิสก์ภายนอกแบบทั่วไปด้วยพอร์ต USB แต่การเพิ่มฮาร์ดดิสก์ในตัวเครื่อง สำหรับ Xbox Series X จะต้องซื้อการ์ด SSD ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษจากทาง Xbox เท่านั้น ส่วนของ PS5 สามารถซื้อ SSD NVMe PCIe 4.0 ตามท้องตลาดได้ แต่ก็ต้องเป็นรุ่นที่ Sony รับรองเช่นเดียวกัน
มาถึงตรงนี้ ถ้าดูจากสเปกแล้ว Xbox Series X น่าจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าแทบจะทุกด้าน แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าบางครั้งสเปกบนกระดาษ ไม่ได้สะท้อนประสิทธิภาพจริงเสมอไป ยังมีตัวแปรอีกหลายด้านที่ต้องรอวัดกันในตอนที่เครื่องออกและเล่นเกมบนเครื่องจริงๆ อีกที และต้องไม่ลืมว่าหัวใจของเครื่องเกม คือตัวเกมบนเครื่องนั่นเอง