สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของโลกตั้งแต่ปีที่แล้ว จนถึงวิกฤต COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกกำลังดิ่งจนไม่รู้จะดีขึ้นเมื่อไร พาให้และยอดขายสมาร์ทโฟนราคาแพงๆ ลดตามไปด้วย แต่สมาร์ทโฟน “เรือธง” ก็ยังมีราคาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สวนกระแสเศรษฐกิจอยู่ จนน่าสงสัยว่าจะแพงขึ้นไปถึงไหน
Samsung Galaxy S20 Ultra เริ่มต้นที่ราคา 31,900 บาท, Huawei P40 Pro เริ่มต้นที่ 31,900 บาท OnePlus 8 Pro ที่เปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ และยังไม่มีราคาในไทย เริ่มต้นที่ 899 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 29,300 บาท (ราคาไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 31,900 บาท) และ OPPO Find X2 Pro 5G ก็ราคาพุ่งแรงไปถึงหลักสี่หมื่น ที่ 40,990 บาทแล้ว
เรือธงแพงชิป
สาเหตุหนึ่งที่สมาร์ทโฟนเรือธงฝั่งแอนดรอยด์มีราคาสูงขึ้นอีกในปีนี้ อาจจะมาจากนโยบายผลักดันเทคโนโลยี 5G ของ Qualcomm ที่บังคับให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่ต้องการใช้ชิป Snapdragon 865 ต้องพ่วงชิปโมเด็ม X55 ไปในมือถือด้วย ทำให้ดีไซน์ของเมนบอร์ดซับซ้อนขึ้น ตัวเครื่องมีน้ำหนักมากขึ้นแล้ว และมีต้นทุนสูง
นอกจากนี้ยังมีข่าวลือที่ว่า Google และ LG อาจตัดสินใจไม่ใช้ชิป Snapdragon 865 แต่หันมาใช้ชิปตัวรองลงมาอย่าง Snapdragon 765G แทน เพื่อลดทั้งความซับซ้อนในการผลิต และคุมราคาไม่ให้แพงเกินไป ซึ่งอาจเป็นการตัดสินใจที่ดีกว่าเพราะทั้ง Pixel 4a ของ Google และ Velvet สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของ LG ก็ถูกคาดการณ์ว่าจะเปิดตัวในช่วงกลางปีนี้ ซึ่งดูทีท่าแล้ว วิกฤต COVID-19 อาจจะยังไม่คลี่คลายดีนัก
ขาลงของเรือธง ขาขึ้นของรุ่นกลาง
เรือธงยุคปัจจุบันถือว่าพัฒนาจนมาเกือบสุดทางแล้ว ดีไซน์และฟังก์ชั่นของสมาร์ทโฟนเรือธงปีนี้ ไม่มีอะไรออกมาให้ว้าวเท่าไร กล้องหน้าแบบซ่อนใต้หน้าจอก็ยังพัฒนาไม่สำเร็จ สแกนลายนิ้วมือใต้จอส่วนใหญ่ก็ยังเป็นแบบ Optical
ความแตกต่างของเรือธงปีนี้กับปีที่แล้ว จึงมีเพียงชิปใหม่ รองรับ 5G ใช้หน้าจอรีเฟรชเรตสูงขึ้น หรือไปแข่งกันเพิ่มจำนวนกล้อง เพิ่มขนาดเซ็นเซอร์ หรือ Optical Zoom ให้ซูมได้ไกลขึ้น ที่ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่ได้สนใจขนาดนั้น และไม่ดึงดูดใจให้คนต้องซื้อมือถือใหม่สักเท่าไร
เมื่อบวกกับวิกฤต COVID-19 และปัญหาเศรษฐกิจ ยอดขายสมาร์ทโฟนทั่วโลก ก็ลดลงไปถึง 38% จากเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว และมีแนวโน้มจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคต้องคิดหนักกันมากขึ้นในการซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นแพงๆ สักเครื่อง
กลับกันในปีที่แล้วแบรนด์ Realme ที่เน้นขายสมาร์ทโฟนรุ่นกลางถึงล่างก็เติบโตถึง 263% และกลายเป็นแบรนด์มือถืออันดับ 7 ของโลก ทำยอดขายในมาเลเซียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้มากกว่า 865% เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว และบริษัทวิจัยตลาด IDC ก็เผยข้อมูลว่า Realme กลายเป็นแบรนด์มือถือที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 4 ในอินเดีย ในช่วงไตรมาสที่สามของปีที่แล้วอีกด้วย
ไปทางไหนต่อดี?
หลายๆ บริษัทเริ่มเห็นขาลงของสมาร์ทโฟนราคาแพงมาสักพักแล้ว แม้แต่ Apple ที่หลังจาก iPhone XS ที่เปิดตัวในราคา 999 เหรียญสหรัฐ (ราคาวางจำหน่ายในไทย 39,900 บาท) ทำยอดขายได้ไม่ถึงเป้าหมาย ปีที่แล้ว Apple เลยเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ iPhone 11 ให้มีรุ่นเล็ก ราคาเริ่มต้นที่ 699 เหรียญสหรัฐ (ราคาวางจำหน่ายในไทย 24,900 บาท) และเพิ่มคำว่า Pro ไว้ในรุ่นที่สูงขึ้นไป ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ล่าสุด Apple เพิ่งเปิดตัว iPhone SE รุ่นเล็กสุดที่ราคา 399 เหรียญสหรัฐ (14,900 บาท) กลายเป็นว่าปีนี้ แอปเปิลมี iPhone รุ่นใหม่ที่ราคาถูกกว่าสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์หลายๆ รุ่นไปแล้ว (ถูกกว่า Xiaomi Mi 10 ราคา 18,900 บาทซะอีก!)
ฝั่งของซัมซุงก็ใช้ยุทธศาสตร์คล้ายๆ กันคือ หันมาออกมือถือเรือธงรุ่น Lite อย่าง S10 Lite หรือ Note 10 Lite รวมถึงหันมาเน้นมือถือรุ่นระดับกลาง เช่น Galaxy A71 ราคา 13,990 บาท ที่ผู้เขียนเพิ่งรีวิวไป หรือ A51 ที่ราคา 10,490
นอกจากนี้เรายังเห็นซัมซุงเริ่มอัดโปรโมชั่นเรือธงอย่าง Galaxy S20 มากขึ้น เช่น Galaxy S20 พ่วงกับไมโครเวฟ หรือการออกแคมเปญ Buy & Try ซื้อมือถือรุ่นเรือธงไปใช้ 7 วัน หากไม่พอใจยินดีรับซื้อคืนในราคาเต็ม
มือถือเรือธงในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 อย่าง Galaxy Note 20, Huawei Mate 40, iPhone 12, Pixel 5 อาจต้องลุ้นให้วิกฤตไวรัสครั้งนี้ผ่านไปเร็วๆ และเอาใจช่วยให้เศรษฐกิจโลกกลับมาสู่สภาวะปกติ เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตามกำลังซื้อโดยรวมที่ลดลง อาจทำให้คนหันไปซื้อสมาร์ทโฟนระดับกลางที่ราคาเป็นมิตรแต่ฟังก์ชั่นครบถ้วนพอใช้ แทนสมาร์ทโฟนเรือธงที่มีราคาแพงจนเกินไป