ชิป 5G ของ Qualcomm ทำต้นทุนพุ่ง อาจเป็นจุดจบมือถือนักฆ่าเรือธงในปีนี้

by mheevariety
11 May 2020 - 10:51

เว็บไซต์ XDA-Developers เขียนบทความเกี่ยวกับสถานการณ์เชิงบังคับของการใช้งาน 5G บนสมาร์ทโฟน ที่ทำให้มือราคาเรือธงราคาแพงขึ้นกว่าเดิม แถมอาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มือถือนักฆ่าเรือธงไปไม่รุ่งในปีนี้

ในบทความยกตัวอย่าง OnePlus One ที่วางจำหน่ายในราคา 299 เหรียญ หรือเพียงครึ่งเดียวของ Galaxy S5 มือถือเรือธงของค่ายแอนดรอยด์ในปีนั้นที่วางจำหน่ายในราคา 500 เหรียญ เป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า “นักฆ่าเรือธง”

คำนี้กลายเป็นชื่อเรียกของโทรศัพท์ที่มีสเปกสูสีกับมือถือเรือธง แต่มีราคาถูกกว่า และตัดหรือลดคุณภาพบางอย่าง เช่นคุณภาพหน้าจอ กล้อง หรือวัสดุลงไป และหลังจากนั้น แม้ OnePlus จะมีราคาสูงขึ้น แต่ก็ยังมีโทรศัพท์จากค่ายจีนบางบริษัท เช่น POCO F1 ที่ยังได้ชื่อว่าเป็นนักฆ่าเรือธงอยู่

แต่ราคาของเรือธงในปี 2020 กลับแพงขึ้นมากในแบบปีต่อปี โดยเว็บไซต์ ArsTechinca เปิดเผยว่าชิป Snapdragon 865 ไม่มีโมเด็มทั้ง 4G และ 5G พ่วงมาบนชิปด้วย ผู้ผลิตจำต้องซื้อชิปโมเด็ม X55 เพิ่ม แถมถ้าอยากรองรับ 5G ให้ครอบคลุมทุกคลื่น ก็ต้องซื้อเสาสัญญาณเพิ่มเพื่อให้รับ 5G คลื่น mmWave ได้อีก ทำให้มือถือที่ต้องมีทั้งชิปเซ็ตหลักและชิปโมเด็มแยก มีขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้หน้าจอและแบตเตอรี่ ก็ต้องใหญ่ขึ้นตามไปด้วย และอาจมีราคาแพงขึ้นถึง 200-300 เหรียญสหรัฐ

เว็บไซต์ TechInsight แยกราคาส่วนประกอบของ Xiaomi Mi 10 5G พบว่าตัว Snapdragon 865 ราคา 81 เหรียญสหรัฐ โมเด็ม X55 ราคา 26.50 และตัวเสาสัญญาณอีก 33.50 รวมต้นทุนถึง 141 เหรียญ

มีเพียงรุ่น iQOO 3 ในอินเดียเท่านั้น ที่ยังเป็นมือถือชิป Snapdragon 865 ที่มีราคาในระดับกลางอยู่ คือ 38,990 รูปี (ประมาณ 16,600 บาท) แถมยังเอาชนะ Realme X50 Pro ที่มีราคา 39,999 รูปี (ประมาณ 17,000 บาท) ได้ แต่ก็เฉพาะในรุ่น 4G เท่านั้น (ซึ่ง XDA Developers ก็ไม่ทราบว่าทำรุ่นที่ตัด 5G ออกไป และตัดราคาขนาดนี้ได้อย่างไร) ส่วนรุ่นที่รองรับ 5G ก็เปิดตัวที่ราคา 46,990 รูปี (ประมาณ 19,990 บาท) ซึ่งถือว่ามีราคาแพงพอสมควรสำหรับตลาดประเทศอินเดีย


ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่าปี 2020 อาจเป็นปีเดียวที่นักฆ่าเรือธงมีราคาแพงขึ้นก็ได้ เพราะเป็นปีแรกที่มีการเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยี 5G อย่างจริงจัง และต้นทุนที่ใช้ในการผลิตสมาร์ทโฟนที่รองรับเทคโนโลยีนี้ อาจลดลงในปีหน้า แต่ผู้ผลิตก็อาจใช้ต้นทุนที่ลดลงในด้านชิป ไปลงทุนกับหน้าจอ วัสดุ การผลิต หรือด้านอื่นๆ ที่ดีขึ้นต่อไป และคงราคาไว้เท่าเดิมก็เป็นได้

สุดท้ายแล้วเทคโนโลยีก็ต้องใช้เงินทุนในการพัฒนา และราคาที่สูงขึ้น ก็อาจทำให้นักฆ่าเรือธง สุดท้ายก็กลายเป็นเรือธงไปซะเอง

ในบทความก่อนหน้า ของผู้เขียน ให้ความเห็นไว้ว่าในช่วงปีถึงสองปีนี้ สมาร์ทโฟนรุ่นกลาง อาจจะมีส่วนแบ่งของตลาดที่สูงขึ้น และหลายๆ ค่าย อาจหันไปใช้ชิปรุ่นรองเช่น Snapdragon 765G หรือ Snapdragon 768G ที่เพิ่งเปิดตัวไป เพื่อลดต้นทุน และรักษายอดขายในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแบบนี้ ทำให้มือถือรุ่นกลาง อาจมาแทนที่ “นักฆ่าเรือธง” ในตลาดต่อไป

ที่มา XDA-Developers, ArsTechinica, TechInsights

Blognone Jobs Premium