แม้ราคาเปิดตัว Galaxy Note 20 ในไทย จะเริ่มต้นที่ 29,990 บาท ถูกกว่า Galaxy Note 10 ที่เปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้น 32,900 บาทอยู่พอสมควร แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ Galaxy Note 20 ดูเหมือนถูกลดฟีเจอร์ไปหลายด้านเพื่อประหยัดต้นทุน และเพื่อให้แตกต่างจาก Note 20 Ultra จนกลายเป็นว่าด้อยกว่าพอสมควรในหลายๆ ด้านเมื่อเปรียบเทียบกัน ในขณะที่ Note 10 กับ 10+ ไม่แตกต่างกันมากนัก
Galaxy Note 20 เป็นมือถือตระกูล Note รุ่นแรกนับแต่ปี 2014 ที่มาพร้อมฝาหลังแบบพลาสติก (โพลีคาร์บอเนต) แถมด้านหน้า ที่เพิ่มขนาดหน้าจอเป็น 6.7 นิ้ว ยังใช้กระจก Gorilla Glass 5 ที่เป็นรุ่นเก่ากว่าNote 10 ที่ใช้ Gorilla Glass 6 ด้วยซ้ำ ในขณะที่ Note 20 Ultra ใช้ Gorilla Glass Victus (Gorilla Glass 7) รุ่นล่าสุด ประกบทั้งหน้าหลัง และมีขอบเครื่องเป็นโลหะ
หน้าจอของ Galaxy Note 20 ยังมี Refresh rate อยู่แค่ 60Hz ซึ่งดูจะกั๊กสเปกมากๆ เพราะ Note 20 Ultra ให้มาถึง 120Hz แถมค่าความหน่วงของปากกาบน Note 20 แม้จะลดลงมาเหลือ 26ms ซึ่ง Samsung บอกว่าเป็นครึ่งหนึ่งของ Note 10 แต่ใน Note 20 Ultra ก็ลดลงไปเหลือแค่ 9ms อยู่ดี
นอกจากนี้ Galaxy Note 20 ยังไม่ใช้ชิป Snapdragon 865+ แต่ได้แค่ 865 ธรรมดา ไม่รองรับ micro SD card และไม่มีระบบรับส่งไฟล์แบบ Ultra Wideband (UWB) เพื่อเพิ่มความเร็วในการรับส่งไฟล์แบบในรุ่น Note 20 Ultra อีกด้วย
เหมือน Samsung จะเล็งเห็นว่าผู้ใช้ตระกูล Note น่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบมือถือแบบพรีเมี่ยม และพยายามผลักให้ซื้อรุ่น Note 20 Ultra เพราะแม้ราคาเริ่มต้นจะต่างกันพอสมควร (Note 20 Ultra เริ่ม 38,990 บาท) แต่ได้ฟีเจอร์ที่ครบครันกว่าเยอะ และผู้ใช้ระดับบนที่ชอบอะไรที่จัดเต็ม น่าจะยังพอมีกำลังซื้ออยู่ ส่วนผู้ใช้ที่ต้องการมือถือรุ่นประหยัด ก็ยังมีตระกูล Galaxy A อยู่ดี ส่วนจะเป็นผลอย่างไรต่อยอดขาย คงต้องติดตามสถานการณ์ในไตรมาสนี้ของ Samsung กันต่อไป
ที่มา - Forbes