รีวิว Galaxy Note 20 Ultra 5G มือถือเรือธงที่ยังน่าใช้แต่อาจยังไม่น่าอัพเกรดมาใช้

by nismod
24 August 2020 - 04:42

ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดสมาร์ทโฟนเรือธงอิ่มตัวมาหลายปีแล้ว และในแต่ละครั้งที่แบรนด์สมาร์ทโฟนเปิดตัวรุ่นใหม่ กระแส ความน่าสนใจไปจนถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่แทบจะไม่มีหรือมีก็น้อยมาก กล่าวอีกอย่างคือตลาดสมาร์ทโฟนเรือธงขาด wow factor มาหลายปีแล้ว

ซัมซุงที่ยังครองตลาดสมาร์ทโฟนอันดับ 1 ของโลกก็ประสบปัญหาไม่ต่างกัน Galaxy Note 20 Ultra 5G (หลังจากนี้ขอเรียกสั้น ๆ ว่า Note 20 Ultra) เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์เรื่องนี้ อย่างน้อยก็เห็นได้จากกระแสช่วงเปิดตัวที่ค่อนข้างเงียบ ขณะที่เมื่อผมมีโอกาสได้ใช้งานจริง แม้จะยอมรับว่า Note 20 Ultra เป็นสมาร์ทโฟนเรือธงที่สมบูรณ์และน่าใช้รุ่นหนึ่ง แต่ด้วยปัจจัยเรื่องราคา และการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง Note 10 Plus ที่ไม่มากขนาดสร้างความแตกต่าง ทำให้รู้สึกว่าอาจยังไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักสำหรับคนที่อยากอัพเกรดมาจากเรือธงปลายปีที่แล้ว

ตัวเครื่องและหน้าจอ

วัสดุ Note 20 Ultra เป็นอะลูมิเนียม บอดี้และงานประกอบของ Note 20 Ultra ต้องยอมรับว่าค่อนข้างดี ให้ความรู้สึกพรีเมียม น้ำหนักกำลังดีมือ (208 กรัม เบากว่า S20 Ultra ที่หนัก 222 กรัม) ไม่หนักไปไม่เบาไป ขณะที่สี Mystic Bronze ส่วนตัวรู้สึกว่าค่อนข้างสวยกว่าหลาย ๆ ตัวเลือกสีที่ซัมซุงทำในหลายรุ่นที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม Note 20 Ultra ไม่มีเคสแถมมาให้ในกล่อง ต้องหาซื้อเอง ขณะที่แม้งานประกอบจะออกมาดี สัมผัสของตัวเครื่องดี สีสวย สมควรจะใช้งานได้ดีสำหรับคนที่ไม่อยากใส่เคส แต่ทว่า Note 20 Ultra กลับเป็นสมาร์ทโฟนที่เหมือนถูกออกแบบมาให้ใส่เคส เพราะใช้งานแบบไม่ใส่เคสได้ค่อนข้างยาก จากทั้งตัวกล้องที่นูน วางเครื่องบนโต๊ะแล้วเอาปากกาเขียนไม่ได้ เครื่องจะกระดก และขอบจอที่โค้ง ทำให้การใช้งาน 2 มือไม่ว่าจะไถหน้าจอหรือพิมพ์คีย์บอร์ด จะมีบางส่วนของมือไปโดนจออยู่ตลอดเวลา ซึ่งน่ารำคาญ (มากกกก)

หน้าจอ Note 20 Ultra สวยงาม สดใสและสู้แสงแดดได้ดีตามสไตล์ซัมซุง ตรงนี้ไม่มีปัญหา หนึ่งในอัพเดตด้านหน้าจอที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการอัพเกรดจริง ๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องการรองรับ 120Hz แต่ทว่ามันมาในรูปแบบของ Adaptive Motion กล่าวคือตัวมือถือไม่ได้แสดงผล 120Hz ตลอดเวลา แต่จะปรับรีเฟรชเรทขึ้นลงตามการใช้งาน เช่นหากเป็นแอปอ่านหนังสือก็อาจปรับรีเฟรชเรทลง แต่หากเป็นช่วงที่เราไถฟีดเฟซบุ๊ก หรือไถหน้าแอปก็จะปรับรีเฟรชเรทเป็น 120Hz ให้ดูลื่น แน่นอนว่าจุดประสงค์ก็เพื่อประหยัดแบต

อย่างไรก็ตาม รีเฟรชเรท 120Hz จะรองรับแค่ที่ความละเอียดต่ำกว่าอย่าง FHD+ และ HD+ เท่านั้น ส่วนความละเอียด WQHD+ (1440p) รองรับแค่ 60Hz ซึ่งส่วนตัวไม่มีปัญหา เพราะคิดว่าความละเอียดระหว่าง 1080p และ 1440p บนหน้าจอ 6.9 นิ้ว ไม่น่าจะแตกต่างขนาดรู้สึกได้เท่าไหร่นัก (แต่ OnePlus 8 Pro ยอมทำ 120Hz ที่ QHD+ นะ)

S Pen และกล้อง - การอัพเกรดระดับซอฟต์แวร์

ถ้าไม่นับการปรับลดความหน่วงของ S Pen จาก 42ms เหลือ 9ms และการอัพเกรดฮาร์ดแวร์กล้อง การใช้งานรวม ๆ ของ 2 ส่วนนี้แทบไม่แตกต่างจาก Note 10 หรือแม้แต่ S20 มากนัก

เรื่องการใช้งานปากกา รีเฟรชเรทหน้าจอ 120Hz อาจช่วยให้รู้สึกลื่นขึ้นเล็กน้อยเวลาเขียน ขณะที่ฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น Air Gesture ใหม่, Samsung Notes ที่รองรับการแก้ไข PDF ในตัว, รองรับการอัดเสียงพร้อมจดโน้ต, AI Neat Note แปลงโน้ตที่เขียนเอียงๆ ปรับมาเป็นแนวนอนและแปลงโน้ตไปเป็น Powerpoint หรือแม้แต่ Samsung Dex ที่เป็นแบบ wireless ก็ล้วนเป็นฟีเจอร์ที่อัพเกรดในเชิงซอฟต์แวร์เท่านั้น ไม่ได้สร้างความแตกต่างระหว่างตระกูล Note 20 กับ Note 10 มากขนาดนั้น และรายหลังก็มีแนวโน้มจะได้รับอัพเดตแบบเดียวกันด้วย หลัง S20 ได้แล้ว

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องยอมรับว่า Samsung Notes น่าจะเป็นแอปจดโน้ตที่ดีพร้อมและสมบูรณ์แบบที่สุดในตลาดแล้ว เมื่อเทียบกับ OneNote หรือแม้แต่ EverNote ยิ่งฟีเจอร์ใหม่อย่างการแก้ไขและเขียนทับ PDF ไปจนถึงการแปลงโน้ตให้เป็น Powerpoint ค่อนข้างมีประโยชน์มาก ๆ

ขณะที่กล้อง รอบนี้เหมือนซัมซุงพยายามแก้ตัวและปรับปรุงข้อผิดพลาดหรือข้อด้อยจาก S20 ให้กล้อง Note 20 Ultra มีความสมบูรณ์มากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นออโต้โฟกัสที่เป็นปัญหาใน S20 Ultra ก็ถูกแก้ด้วยเลเซอร์สำหรับออโต้โฟกัสโดยเฉพาะ

นอกจากนี้รอบนี้เหมือนซัมซุงจะรู้แล้วว่าการซูม 100 เท่า เป็นเพียงกิมมิคด้านการตลาด (ที่ก็คาดว่าไม่น่าจะประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก) และสามารถนำไปใช้งานจริงได้น้อยมาก รอบนี้เลยปรับลดว่าสามารถซูมได้สูงสุดแค่ 50 เท่าเท่านั้น (แค่นี้ก็รู้สึกว่าใช้งานยากแล้ว) และครั้งนี้ซัมซุงโปรโมทว่า Note 20 Ultra ทำออพติคัลซูมที่ 5 เท่า (เพิ่มจาก S20 Ultra ที่ออพติคัลแค่ 4 เท่า แต่โปรโมทด้วยคำว่า Hybrid Optical Zoom 10x ที่ผสานดิจิทัลซูมเข้าไปด้วย)

เซ็นเซอร์กล้องหลักของ Note 20 Ultra ยังคงเป็นตัวเดียวกับ S20 Ultra คือ ISOCELL Bright HMX 108MP ความละเอียดสูงสุด 108 ล้านพิกเซล เฉพาะสัดส่วน 4:3 ซึ่งแทบไม่แตกต่างจากกล้องของ S20 Ultra มากนักในภาพรวม


มุมว้าง (0.5x)


มุมปกติ (1x)


ซูม 4x


ซูม 10x


ซูม 20x


ซูม 50x


ซ้าย Night Mode | ขวา Auto HDR


Live Focus


กล้องหน้า

ส่วนที่พอจะน่าสนใจสำหรับกล้องของ Note 20 Ultra คือการถ่ายวิดีโอแบบ Pro Mode ที่ผู้ใช้งานสามารถปรับ ISO, Speed Shutter, รูรับแสง, ค่าชดเชยแสง, ไวท์บาลานซ์ ไปจนถึงโฟกัสได้เองทั้งหมด ที่สำคัญคือสามารถปรับทิศทางการรับเสียงจากไมโครโฟนได้ด้วยว่าจะรับจากทุกไมค์ (Omni) หรือเฉพาะทิศทางใดทิศทางหนึ่ง รวมถึงรองรับไมโครโฟนภายนอก ไม่ว่าจะพ่วงด้วย USB หรือบลูทูธ ที่ใช้งานได้แม้แต่หูฟังไร้สายอย่าง Galaxy Buds และ Buds Live ด้วย (ยี่ห้ออื่น ๆ ก็มีรายงานว่าใช้ได้เหมือนกัน)

Pro Mode น่าจะพอช่วยตากล้องมือสมัครเล่นหรือมืออาชีพหลายคนสำหรับการถ่ายงานให้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องพกกล้องหลาย ๆ ตัวได้ไม่มากก็น้อย (และอย่างที่เกริ่นไปว่า S20 ก็ได้ Pro Mode แล้วจากการอัพเดตซอฟต์แวร์)

การใช้งานทั่วไปและแบตเตอรี่

ด้วยสเปคระดับเรือธงและแรมถึง 12GB ทำให้ Note 20 Ultra แทบไม่มีปัญหาในการใช้งาน รอมเป็น OneUI 2.5 ที่มีฟีเจอร์ใหม่ฝั่งแอนดรอยด์อย่าง Nearby Share มาให้ในตัวและฝั่งไมโครซอฟท์อย่าง Your Phone ใหม่

การสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอค่อนข้างเร็วและแม่นยำ ขณะที่แบตเตอรี่ให้มา 4,500mAh (Note 20 มากกว่าที่ 5,000mAh) ใช้งานแรก ๆ อาจจะเพราะสังเกตแบตเตอรี่บ่อยไป รู้สึกแบตไหลเร็วมาก ตื่น 8 โมง ใช้แต่ Wi-Fi อยู่บ้าน ออกจากบ้านราว 11 โมง สังเกตแบตตอนเที่ยงเหลือราว 70%-80% แต่พอใช้งานจริงไปสักพัก รู้สึกแบต Note 20 Ultra สามารถอยู่ใช้งานได้เต็มวันแม้จะใช้งานหนักอย่างดู Netflix/YouTube หรือเปิดกล้องถ่ายรูปเยอะ ๆ ก็ตาม

สรุป

ผมกล้าพูดว่า Galaxy Note 20 Ultra 5G เป็นสมาร์ทโฟนที่สมบูรณ์พร้อมเครื่องหนึ่ง จากการปรับปรุงและแก้ไขปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ จาก Note 10+ และ S20 Ultra

อย่างไรก็ตามปัญหาของ Note 20 Ultra คงหนีไม่พ้นเรื่องราคาที่รุ่นเริ่มต้นก็ปาเข้าไป 38,990 บาทแล้ว ซึ่งถือว่าค่อนข้างแพงมาก โดยเฉพาะเศรษฐกิจแบบนี้ และยิ่งเมื่อพิจารณาในรายละเอียดว่าจุดแตกต่างของ Note 20 Ultra กับ Note 10 Plus ถ้าไม่นับการอัพเกรดฮาร์ดแวร์ตามรอบปกติ สิ่งที่แตกต่างส่วนใหญ่ก็ล้วนอยู่ในซอฟต์แวร์ที่ Note 10 Plus ก็น่าจะได้ตามมาเร็ว ๆ นี้ด้วย

อีกประเด็นที่น่าส่ายหน้าให้กับซัมซุงคือการ “กั๊ก” ฟีเจอร์ของรุ่นเล็กอย่าง Note 20 ให้มีความแตกต่างจาก Note 20 Ultra ค่อนข้างมาก (ทั้งที่ Note 10 กับ 10+ ต่างกันไม่เยอะ) ไม่ว่าจะบอดี้เป็นพลาสติก, หน้าจอครอบด้วย Gorilla Glass 5 (Note 10 ยังใช้ Gorilla Glass 6), รีเฟรชเรทจอแค่ 60Hz, ความหน่วงปากกา 26ms (Ultra 9ms), ชิปเซ็ต Snapdragon 865, กล้องหลังไม่มี Laser AF

เรือธงรุ่นย่อยอย่าง Note 20 มันควรเป็นรุ่นที่เอาไว้รองรับคนที่อยากใช้ฟีเจอร์เรือธง แต่งบไม่ถึงและยอมลดความพรีเมียมหลายอย่างลง แต่การกั๊กฟีเจอร์ที่ค่อนข้างส่งผลต่อการใช้งาน (เช่นรีเฟรชเรทหน้าจอที่ส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่สุด) อาจยิ่งตัดโอกาสคนที่จะเปลี่ยนมาใช้ Note 20 ลงไปอีกก็ได้ เพราะงบไม่ถึงรุ่น Note 20 Ultra แต่พอมามอง Note 20 (เทียบกับ Ultra) แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า

Blognone Jobs Premium