iPhone 12 และ iPhone 12 Pro ที่วางจำหน่ายก่อน Mini และ Pro Max เริ่มมีรีวิวออกมาแล้ว ในปีนี้ทั้งสองรุ่นมีข้อแตกต่างกันน้อยกว่า 11 และ 11 Pro เพราะ Apple ไม่ใช้ LCD อีกต่อไป แต่หันมาใช้หน้าจอ OLED แบบ Super Retina XDR ในมือถือทุกรุ่น พร้อมเพิ่มแม่เหล็ก MagSafe มาด้านหลังสำหรับการชาร์จไร้สายและอุปกรณ์เสริม ในตัวเครื่องดีไซน์ใหม่ ขอบเหลี่ยมคล้ายยุค iPhone 4 จนถึง 5s และมาพร้อมชิป A14 Bionic ที่ใช้สถาปัตยกรรมการผลิต 5 นาโนเมตร
โดยรวม iPhone 12 และ iPhone 12 Pro จะได้รับคำชมในด้านดีไซน์เป็นอย่างแรก สื่อส่วนใหญ่ชอบดีไซน์ขอบเหลี่ยมที่จับถนัดมือมากขึ้น ขอบจอของ 12 เล็กลงเมื่อเทียบกับ 11 เพราะเปลี่ยนจาก LCD มาเป็น OLED กระจกด้านหลังของ iPhone 12 เห็นรอยนิ้วมือได้ชัดกว่ากระจกสีขุ่นบนรุ่น Pro แต่ขอบของรุ่น Pro ที่เป็นสแตนเลสผิวมัน จะเห็นรอยนิ้วมือชัดกว่าของอะลูมิเนียมในรุ่นธรรมดา
ในด้านกล้อง ปีนี้กล้องหลักของ iPhone มีรูรับแสงกว้างขึ้นเป็น f/1.6 เทียบกับ f/1.8 ในปีที่แล้ว จากการทดสอบของเว็บไซต์ต่างๆ พบว่าถ่ายรูปในที่แสงน้อยดีขึ้นเล็กน้อย ไม่ถึงกับก้าวกระโดด แต่การที่ทุกเลนส์กล้องถ่าย Night Mode ได้ ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดี แม้กล้องหลักจะถ่ายยังถ่าย Night Mode ได้ดีที่สุดก็ตาม ส่วนกล้องอัลตร้าไวด์ ยังมีมุมมอง 120 องศา และรูรับแสง f/2.4 เหมือนเดิม
เลนส์เทเลบน 12 Pro เหมือนกับ 11 Pro ทุกประการ ส่วนเซ็นเซอร์ LiDAR ที่เพิ่มเข้ามา จะทำงานต่อเมื่อถ่ายภาพบุคคลใน Night Mode ซึ่ง The Verge ได้ทำการทดสอบ และพบว่าโฟกัสเร็วขึ้น เก็บรายละเอียดภาพได้เยอะขึ้นจริง และทำงานได้ลื่นไหลกว่าโหมดเดียวกันบน Pixel 5 กับอีกข้อดีคือช่วยให้ฟีเจอร์ในแอป Augmented Reality ทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังไม่มีประโยชน์อื่นให้เห็นชัดเจน อย่างน้อยก็ในช่วงนี้
ด้านการถ่ายวิดีโอ iPhone 12 และ 12 Pro ยังทำได้ดีเช่นเคย ภาพมีสีสด รายละเอียดครบถ้วน กั่นสั่น OIS ทำงานได้ดี ยิ่ง 4K HDR แบบ Dolby Vision ยิ่งเก็บรายละเอียดความมืดและสว่างของวิดีโอได้เป็นอย่างดีเมื่อดูบนจอมือถือ แต่อาจมีข้อจำกัดบ้างหากต้องการดูวิดีโอแบบ Dolby Vision บนจอใหญ่
iPhone 12 และ 12 Pro ถ่ายวิดีโอ HDR เป็นไฟล์ Dolby Vision Profile 8.4 ซึ่งเป็นระบบ Dolby Vision ที่ส่ง metadata ของ Dolby Vision ไปพร้อมกับ HLG แบบ 10 bit ทำให้สามารถเล่นวิดีโอไฟล์เดียวกันโดยไม่ต้องแยกเวอร์ชั่นได้บนทีวีที่ไม่รองรับ Dolby Vision โดยวิดีโอจะเล่นเป็น HLG หรือ SDR ตามที่ทีวีรองรับแทน (แต่หากทีวีรองรับทั้ง HLG และ Dolby Vision แต่ไม่รองรับ Profile 8.4 ก็จะเล่นเป็น HLG แทน จึงอาจต้องเช็คสเปกทีวีให้ดี)
อีกข้อจำกัดคือ iPhone 12 จะถ่าย 4K HDR แบบ Dolby Vision ได้ที่ 30fps เท่านั้น ต้องเป็น 12 Pro ถึงจะถ่ายได้แบบ 60fps เป็นอีกหนึ่งข้อแตกต่าง ระหว่างรุ่นธรรมดา กับ Pro
ปีนี้ทั้งสองรุ่นใช้หน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1170 x 2532 พิกเซลเท่ากัน และสื่อทุกสำนักก็ชื่นชมในด้านการแสดงสี contrast ratio และการรองรับ HDR รวมไปถึง Dolby Vision
แม้จะดูเหมือนหน้าจอไม่ต่างกัน แต่ความสว่างหน้าจอของ 12 จะสว่างน้อยกว่า 12 Pro เล็กน้อย โดย Apple ระบุบนเว็บไซต์ว่า iPhone 12 มีความสว่างสูงสุด 625 nits (Tom’s Guide ทดสอบได้ที่ 569 nits เมื่อตั้งค่าสูงสุด)
ส่วน iPhone 12 Pro จะมีความสว่างสูงสุดที่ 800 nits แต่ทั้งสองรุ่นมีความสว่างสูงสดในโหมด HDR เท่ากันที่ 1,200 nits รวมถึงสื่อทุกเจ้ามีข้อติเหมือนกันคือเสียดายที่หน้าจอ iPhone 12 ทั้งสองรุ่น ยังไม่เป็น 120Hz แบบใน iPad Pro หรือมือถือเรือธงฝั่ง Android หลายๆ รุ่น
ทั้ง 12 และ 12 Pro ใช้ชิป A14 Bionic เช่นเดียวกัน ซึ่งทำคะแนนชนะ Snapdragon 865 และ 865+ ได้เกือบทุกการทดสอบ แต่ Tom’s Guide ตั้งข้อสังเกตว่า การที่หน้าจอมีรีเฟรชเรตแค่ 60Hz อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่า iPhone 12 ช้ากว่ามือถือที่หน้าจอ 90Hz หรือ 120Hz ได้ แม้ฮาร์ดแวร์ภายในจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า
ข้อแตกต่างหลักของสเปกภายใน คือ 12 Pro มีแรม 6GB ขณะที่ 12 รุ่นธรรมดามีแรม 4GB ซึ่งแม้อาจยังไม่แตกต่างมากนักสำหรับการใช้งานในปัจจุบัน แต่แรม 6GB บน 12 Pro น่าจะยืดอายุการใช้งานให้รองรับแอปในอนาคตได้ยาวนานกว่า และทำงานแบบมัลติแทสก์ได้ดีกว่า
ด้านแบตเตอรี่ในปีนี้ มีความเกี่ยวข้องกับการใช้งาน 5G ค่อนข้างมาก โดย The Verge ที่ทำการทดสอบ 5G ทั้งในรุ่น 12 และ 12 Pro พบว่าแบตเตอรี่ทั้งสองรุ่น ใช้งานได้น้อยลงกว่า iPhone 11 ทั้งสองรุ่น และ Nilay Patel ผู้รีวิว 12 Pro พบว่าแบตเหลือ 18% หลังทำการทดสอบ 5G อย่างหนักประมาณ 2.5 ชั่วโมง แต่ตอนที่เขาอยู่บ้านและใช้งานเพียง Wi-Fi ก็ยังสามารถใช้งานได้แบบเต็มวันอยู่
ส่วนในการทดสอบของ Tom’s Guide ที่ iPhone 11 เคยอยู่ได้ 11 ชั่วโมง 16 นาที ฝั่ง iPhone 12 นั้นอยู่ได้แค่ 8 ชั่วโมง 25 นาทีเท่านั้น แต่เมื่อปิด 5G จะอยู่ได้ 10 ชั่วโมง 23 นาที เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 2 ชั่วโมง ส่วน iPhone 12 Pro อยู่ได้ 9 ชั่วโมง 6 นาที เมื่อเปิด 5G และ 11 ชั่วโมง 24 นาที หากปิด 5G
การทดสอบ 5G สื่อหลายสำนักที่ทดสอบทั้งแบบ sub 6GHz พบว่าแม้จะมีความเร็วมากกว่า 4G LTE แต่ก็ยังแตกต่างกันไปตามพื้นที่ ตั้งแต่เร็วกว่าเล็กน้อย ไปจนถึงเร็วกว่าสองเท่า ส่วนแบบ mmWave แม้ในสหรัฐอเมริกาเองก็ยังมีพื้นที่ใช้งานน้อย และการขยับเพียงก้าวเดียวก็อาจทำให้สัญญาณหายได้ จากการทดสอบของ The Verge พบว่าการใช้งาน mmWave ทำให้เครื่องอุ่นขึ้นเล็กน้อย และกินแบตเตอรี่มากกว่า 5G ทั่วไป แต่ทำความเร็วได้ถึง 2 Gbps ในการทดสอบบน iPhone 12 Pro
จุดด้อยนี้ Apple พยายามแก้ไขโดยใส่ฟีเจอร์ Smart Data มาให้ โดยจะเปิดใช้ 5G เวลาจำเป็นเท่านั้น และการใช้งานในบ้านเราที่สัญญาณ 5G ยังมีน้อยอยู่ (และรุ่นบ้านเราจะไม่มีเสารับสัญญาณ mmWave) อาจทำให้แบตเตอรี่ใช้งานได้นานกว่าการทดสอบของสื่อต่างประเทศเล็กน้อย
สิ่งหนึ่งที่ทำเอา Apple ถูกมือถือฝั่ง Android หลายๆ เจ้าแซว ก็คือการไม่แถมที่ชาร์จและหูฟังมาในกล่องอีกต่อไป ซึ่งประเด็นเรื่องประหยัดพื้นที่ขนส่งเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมหรือประหยัดงบกันแน่ ยังคงเป็นที่ถกเถียง เช่นถ้า Apple อยากช่วยโลกจริง ทำไมไม่เปลี่ยนไปใช้ USB-C เพราะผู้ใช้จะสามารถใช้สายชาร์จและที่ชาร์จของอุปกรณ์อื่นที่มีอยู่แพร่หลายมาชาร์จได้ทันที
แต่ผลกระทบที่แน่นอนในตอนนี้ ตกมายังผู้บริโภคที่ไม่เคยใช้ iPhone มาก่อน หรือมีหัวชาร์จ Apple รุ่นเก่า ที่เป็น USB-A to Lightning หรือผู้ที่อยากชาร์จเร็วบน iPhone 12 และ 12 Pro ด้วยสาย USB-C to Lightning ที่คงต้องซื้อหัวชาร์จใหม่ ซึ่งแม้ Apple จะลดราคาทั้งหัวชาร์จ 20W และหูฟัง EarPods ลงมาเป็น 690 บาท จาก 1,190 บาทแล้ว แต่รวมกันสองอุปกรณ์ ก็เป็นมูลค่าถึง 1,380 บาทอยู่ดี
ในวิดีโอการทดสอบของ Marques Brownlee (MKBHD) พบว่าอุปกรณ์ชาร์จไร้สาย MagSafe ทำงานได้ดี ชาร์จไร้สายได้ 15W ตามที่โฆษณาและชาร์จผ่านเคสจาก Apple ที่ผลิตมาเพื่อ MagSafe โดยเฉพาะได้ แต่หากติดกระเป๋าบัตร MagSafe ไปอีกชั้นพร้อมกับเคส ก็จะชาร์จไม่ได้ นอกจากนี้ยังดูดติด และชาร์จ Pixel 5 ของเขาได้ ที่ 7.5W อีกด้วย
หนึ่งจุดที่ Marques เป็นห่วง คือแม่เหล็กของ MagSafe ไม่ได้ดูดแรงนัก และพบว่าตัวเครื่องหลุดจากที่ชาร์จไร้สายได้ง่ายๆ แค่เขย่าเบาๆ รวมถึงกระเป๋าบัตรที่ติดหลังตัวเครื่องก็อาจหลุดออกได้ตอนหยิบตัวเครื่องเข้าออกจากกระเป๋ากางเกง โดยเขาคาดหวังว่าผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมอื่นๆ อาจทำอุปกรณ์พร้อมแม่เหล็กที่มีกำลังสูงกว่านี้ออกมาในอนาคต
ในภาพรวม iPhone 12 นั้น ถือเป็นการอัปเกรดจาก iPhone 11 หลายด้าน เช่นชิป A14 กล้องหลักที่รูรับแสงใหญ่ขึ้นและหน้าจอที่เปลี่ยนจาก LCD มาเป็น OLED (และขอบเล็กลง) แม้อายุการใช้งานแบตเตอรี่จะลดลงเพราะ 5G ก็ตาม
ส่วน iPhone 12 Pro เมื่อเทียบกับ 11 Pro อาจไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ก็จะได้หน้าจอที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ดีไซน์ใหม่ LiDAR สำหรับถ่ายภาพบุคคลในเวลากลางคืน และถ่ายวิดีโอ 4K HDR Dolby Vision แบบ 60 fps ซึ่งจะเพียงพอให้อัปเกรดมั้ย คงต้องใช้วิจารณญาณและพิจารณาราคากันอีกครั้ง
iPhone 12 กับ iPhone 12 Pro ในปีนี้มีข้อแตกต่างน้อยกว่าที่เคย เหลือเพียงกล้องเทเลที่เพิ่มมา หน้าจอที่สว่างกว่าเล็กน้อย เซ็นเซอร์ LiDAR แรมที่มากกว่าอยู่ 2GB ดีไซน์ แบตเตอรี่มากกว่าเล็กน้อย และการถ่ายวิดีโอแบบ 4K HDR Dolby Vision 60fps แต่สำหรับผู้ที่อยากประหยัดงบ ในปีที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี การมีข้อแตกต่างน้อยลงนี้อาจเป็นโอกาสดีที่จะซื้อรุ่นธรรมดาและได้หน้าจอ OLED แทนที่จะต้องจำใจซื้อรุ่นที่มีหน้าจอ LCD แบบปีที่แล้ว
อีกสองรุ่นที่จะออกมาภายหลัง iPhone 12 Mini ไม่ได้ต่างจากรุ่นธรรมดามากนัก นอกจากขนาดหน้าจอ 5.4 นิ้ว ส่วนใครที่อยากได้แบตที่อึดกว่า หรืออยากได้รุ่นจัดเต็มกว่านี้ อาจต้องรอ iPhone 12 Pro Max ที่นอกจากจะแบตเตอรี่จะมีความจุมากกว่า ยังมีกล้องหลักที่มีขนาดเซ็นเซอร์ใหญ่กว่า iPhone 12 Pro และมี sensor-shift OIS หรือระบบกันสั่นอยู่ที่ตัวเซ็นเซอร์แทนเลนส์ ทำให้ถ่ายภาพได้นิ่งกว่าอีกด้วย