นอกจาก Xbox Series X ไมโครซอฟท์ยังมี Xbox Series S คอนโซลรุ่นเล็กที่วางขายพร้อมกัน ในราคา 299 ดอลลาร์ (ถูกกว่า 200 ดอลลาร์)
สิ่งแรกที่เว็บไซต์ต่างประเทศแทบทุกแห่งชื่นชม Xbox Series S คือ "ขนาดเล็กมาก" (สวนทางกับ PS5 ที่ทุกคนบอกว่าใหญ่มาก) ส่วนดีไซน์เครื่องก็แล้วแต่ความชอบและรสนิยมของแต่ละเว็บ โดย Series S วางได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน
จุดเด่นของ Xbox Series S คือซีพียูที่ใกล้เคียงกับ Series X รองรับการเล่นเกมที่เฟรมเรตสูงสุดระดับ 120 fps (บางเกมอย่าง The Falconeer หรือ Gears 5 รองรับแล้ว) มีสตอเรจแบบ SSD ทำให้โหลดเกมรวดเร็ว มีฟีเจอร์ฝั่งซอฟต์แวร์ แดชบอร์ด และ Quick Resume สลับเกมได้ทันทีเหมือนกับ Series X ในราคาถูกกว่ามาก ขณะใช้งาน เครื่องเงียบกว่า Series X เล็กน้อย
ประเด็นที่ Xbox Series S โดนวิจารณ์หนักที่สุดคือ สตอเรจ 512GB ที่ใช้งานได้จริงเพียง 364GB ซึ่งไม่ค่อยพอแล้วสำหรับเกมยุคนี้ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แม้เราสามารถซื้อการ์ดสตอเรจเสริมของ Seagate ได้แบบเดียวกับ Xbox Series X แต่การ์ดก็มีราคาแพงคือ 1TB 219 ดอลลาร์ รวมกันแล้วแพงกว่าซื้อ Xbox Series X ด้วยซ้ำ (สามารถใช้ external harddisk ต่อผ่าน USB ได้ แต่ก็จะไม่ได้ฟีเจอร์โหลดเร็วหรือ Quick Resume)
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ไมโครซอฟท์วางตัว Xbox Series S ว่าเป็นเครื่องเล่นเกมระดับ 1440p ซึ่งศักยภาพของเครื่องสามารถทำได้ แต่ในความเป็นจริง นักพัฒนาไม่ได้สนใจรีดประสิทธิภาพของเกมเก่าให้เป็น 1440p กันสักเท่าไร (ข้ามไปเป็น 4K เพื่อ Series X เลย) ทำให้เกมที่มารันบน Series S ไม่ได้เป็นเวอร์ชัน optimize ลักษณะเดียวกับ Series X แต่ยังเป็นเวอร์ชัน 1080p ที่ยกมาจาก Xbox One S ซะมากกว่า
เว็บไซต์เกือบทุกแห่งชี้ประเด็นตรงกันว่า Xbox Series S เหมาะกับเป็นเครื่องเกมสำหรับเล่น Game Pass ที่ไม่ต้องการเกมดังๆ ฟอร์มใหญ่ทุกเกมเสมอไป หรืออาจใช้เป็นเครื่องเกมที่สองสำหรับทีวีจอเล็กในบ้าน ที่ราคาสบายกระเป๋ากว่าเครื่องรุ่นใหญ่
คะแนนรีวิว