การไต่สวนคดีความระหว่าง Epic Games กับ Apple ทำให้รายละเอียดต่างๆ จากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง หลุดมาให้สาธารณะชนได้รับรู้มากมาย หลังก่อนหน้านี้ข้อมูลในศาลยืนยันว่า Apple จงใจไม่ทำ iMessage บน Android เพราะกลัวส่วนผู้ใช้หนีจาก iOS ง่ายขึ้น
ล่าสุดมีข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า แพลตฟอร์ม PlayStation ของ Sony เป็นเจ้าเดียวที่เรียกเก็บเงินเพิ่ม หากนักพัฒนาเปิดให้เกมสามารถเล่นข้ามแพลตฟอร์มได้ด้วยฟีเจอร์ cross-play แล้วส่งผลให้สัดส่วนรายได้บน PlayStation Network ลดลง
เอกสารที่เปิดเผยในชั้นศาล เป็นอีเมลจาก Joe Kreiner หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ Epic Games ในช่วงปี 2018 ที่พยายามยื่นข้อเสนอกับ Sony แบบสุดตัวเพื่อให้เกม Fortnite เล่นข้ามแพลตฟอร์มได้ ทั้งยอมมอบข้อมูลการตลาดให้ ยอมยกเครดิตให้ Sony ทั้งหมดหากมีการแถลง cross-play ไปจนถึงยอมยืดอายุการใช้งานไลเซนส์ Unreal Engine 4 ให้ แต่ Sony ก็ยังไม่ยอม และตอบกลับว่า “...ยังไม่เห็นว่าการเล่นแบบ cross-console (cross-play) จะมีประโยชน์ต่อธุรกิจ PlayStation ได้ยังไง”
Sony เปลี่ยนใจภายหลัง ในช่วงปี 2019 โดยคิดนโยบายเก็บเงินเพิ่มจากการอนุญาตให้เกมเล่น cross-play ได้ ในเอกสารของ Sony มีรายละเอียดว่า หากเปอร์เซ็นต์รายได้บน PSN หารด้วยเปอร์เซ็นต์ของผู้เล่นบน PS4 น้อยกว่า 0.85 นักพัฒนาจะต้องจ่ายเงินเพิ่มให้กับ Sony เป็นจำนวนเงินเท่ากับ 15% ของรายได้จากทุกแพลตฟอร์มคูณด้วยเปอร์เซ็นต์สัดส่วนผู้เล่นบน PS4 และลบด้วยรายได้บน PSN ในเดือนนั้น (ดูรายละเอียดตัวอย่างในรูปด้านล่าง)
Tim Sweeney ซีอีโอของ Epic Games ยืนยันว่า PlayStation เป็นแพลตฟอร์มเดียวที่ทำแบบนี้ และอธิบายเพิ่มเติมว่าถ้ามีคนเล่นบน PS4 แต่จ่ายเงินบน iPhone เยอะ ทำให้ Epic ต้องเสียค่าปรับนี้ และ Epic ก็ต้องตกลงจ่ายค่าเงินส่วนนี้ก่อน Sony ถึงจะยอมเปิดให้เล่น cross-play แต่ก็ยังไม่จบ เพราะมีข้อบังคับห้ามนำเงินในเกมข้ามแพลตฟอร์ม และต้องมีตัวเลือกให้ผู้เล่นปิด cross-play ได้เสมออีก
ช่วงหลังมานี้ PlayStation มีพฤติกรรมไม่เป็นมิตรกับผู้บริโภคหลายอย่าง ทั้งเตรียมปิดร้านขายเกมรุ่นเก่า และทำให้เกมของผู้เล่นหายไปทั้งหมด แต่โดนก่นด่าจากชาวเน็ตจนยอมเปลี่ยนใจ และยังจะมีข้อมูลนี้หลุดออกมา ทำให้เห็นว่า PlayStation เห็นความสำคัญของเงินมากกว่าประสบการณ์ของผู้บริโภคอีก คงต้องติดตามว่า Sony จะเร่งแก้ภาพลักษณ์ให้กับ PlayStation ได้หรือไม่ และจะทำอย่างไรต่อไป
ที่มา - The Verge