หลังจากผู้เขียนรีวิว Xiaomi Mi 11 ที่ไม่ค่อยมีอะไรใหม่ไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ล่าสุด Xiaomi ก็ได้ออก Mi 11 Ultra เรือธงรุ่นจัดเต็ม ที่ใส่ฟีเจอร์มาเหมือนพยายามลบคำสบประมาทที่ว่าไม่มีอะไรใหม่ เพราะนอกจากกล้องหลัก 50MP, กล้องซูม periscope 5x, กล้องอัลตร้าไวด์มุมมอง 128 องศา ที่ปัจจุบันครองอันดับ 1 ด้านกล้องถ่ายภาพมือถือบน DxoMark แล้ว ยังใส่หน้าจอเล็กด้านหลังเพิ่มเอาไว้ข้างกล้องอีกด้วย
จอด้านหลังนี้เป็นจอขนาด 1.1 นิ้ว ความละเอียด 126x294 พิกเซล เป็นจอแบบเดียวกับ Mi Smart Band 5 ทำหน้าที่เป็นจอแสดงนาฬิกากับสถานะอื่นๆ ได้ เวลาที่วางเครื่องคว่ำหน้า และยังเป็นจอเสริมสำหรับใช้กล้องหลังถ่ายภาพเซลฟี่ได้
ภายใน Mi Ultra 11 มาพร้อมชิปเรือธง Snapdragon 888 เช่นเดียวกันกับ Mi 11 และให้แบตเตอรี่มาใหญ่ถึง 5,000 mAh แบบจุใจ ส่วนในด้านแรมหน่วยความจำ เครื่องที่ผู้เขียนรีวิวจะเป็นรุ่นแรม 12GB หน่วยความจำภายในประเภท UFS 3.1 ความจุ 256GB และเป็นตัวเครื่องสีดำ
ปัจจุบัน Mi 11 Ultra วางจำหน่ายในไทยแล้ว เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในราคา 33,990 บาท (Mi 11 ธรรมดา 27,999 บาท) แต่มีจำนวนจำกัดแค่ 100 เครื่องเท่านั้น และยังไม่แน่ว่าจะมีมาเพิ่มในอนาคตหรือไม่
แกะกล่อง
Mi 11 Ultra มาในกล่องสีดำเรียบหรู สวนทางเทรนด์เรือธงด้วยการแถมที่ชาร์จชาร์จเร็ว 67W แบบ GaN มาให้เช่นเคยพร้อมสาย USB-C to USB-C ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ 5000 mAh ของ Mi 11 Ultra ได้ 89% ภายใน 30 นาที และชาร์จเต็มภายใน 37 นาทีเท่านั้น และยังมีเคสพลาสติก TPU แถมมาให้ เช่นเดียวกับมือถือ Xiaomi รุ่นอื่น
ตัวเครื่อง และรูปลักษณ์ภายนอก
หน้าจอ OLED ขนาด 6.81 นิ้ว ความละเอียด WQHD+ (1440 x 3200 พิกเซล) อัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz มีระบบ adaptive refresh rate ปรับลดเหลือ 90Hz, 60Hz และ 30Hz ได้ตามคอนเทนต์ สีสันสดใส สว่างเตะตามาก เพราะมีความสว่างสูงสุดที่ 900nits และ 1700nits ในโหมด HDR ที่รองรับทั้ง Dolby Vision และ HDR10+ รวมถึงรองรับการแสกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอแบบออปติคัล และด้านหน้าครอบด้วยกระจก Gorilla Glass Victus
ขอบจอด้านบนและล่างบางมาก ขอบจอด้านข้างเป็นแบบโค้ง แต่โค้งไม่มากนัก ไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้งาน หรือทำให้เกิดการสัมผัสโดยไม่ตั้งใจ กล้องหน้าเป็นแบบเจาะรู อยู่มุมบนซ้ายของหน้าจอ ไม่ทำให้รู้สึกเกะกะ
สิ่งที่ทำให้ติดขัดในการใช้งานพอสมควรน่าจะเป็นโมดูลกล้องด้านหลังที่ยื่นออกมาจากตัวเครื่องมากพอสมควร และมีขนาดใหญ่มาก รวมถึงมีน้ำหนัก 234 กรัม ซึ่งเมื่อเทียบกับ iPhone 12 Pro น้ำหนัก 190 กรัมที่ผู้เขียนรู้สึกว่าหนักแล้ว ก็ยังหนักมากกว่าถึง 44 กรัมเลยทีเดียว แถมน้ำหนักส่วนมากก็อยู่ที่ครึ่งบนของตัวเครื่อง (น่าจะมาจากโมดูลกล้องและจอด้านหลัง) ทำให้เวลาถือ รู้สึกเกะกะมือ และเหมือนศูนย์ถ่วงเอียงไปด้านบนพอสมควร
ด้านซ้ายของตัวเครื่องไม่มีปุ่มใดๆ ด้านขวามีปุ่มเพิ่ม-ลด เสียง และปุ่มพาวเวอร์ ด้านบนล่างเป็นลำโพงที่จูนเสียงโดย harman/kardon ให้เสียงที่ดังสะใจ ไม่แตกแม้เปิดสุด แต่เสียงเบสก็ไม่หนานัก ออกไปทางโทนใสๆ พุ่งๆ มากกว่า แต่ก็ดูวิดีโอที่มีเสียงคนพูดบน Youtube หรือซีรีส์ Netflix ได้สบาย พอร์ตชารร์จ USB-C และช่องใส่ซิมจะอยู่ด้านล่างของตัวเครื่อง น่าเสียดายที่ไม่รองรับ microSD card แต่ความจุเริ่มต้น 256GB ก็น่าจะพอแบบเหลือเฟือ
ประสิทธิภาพและประสบการณ์การใช้งาน
Mi 11 Ultra มาพร้อม MiUI 12.0.1 รันครอบอยู่บน Android 11 ซึ่ง UI ของ Xiaomi ยุคหลังๆ แทบจะไม่มี bloatware เกะกะติดมาด้วยแล้ว และโฆษณาก็น้อยลงมากจนกลายเป็น UI ของฝั่ง Android ที่สะอาดสะอ้านใช้งานได้อีกเจ้า ภาพด้านล่างเป็นตัวอย่างแอปที่ติดตั้งมาให้ในเครื่องทั้งหมด และข้อมูลตัวเครื่องจากหน้า About กับแอป Geekbench 5
การทดสอบบน Geekbench 5 ชิป Snapdragon 888 ทำคะแนนได้ Single Core ได้ 1,125 คะแนน และ Multi Core ได้ 3,623 คะแนน สูงกว่า Mi 11 รุ่นธรรมดาที่ผู้เขียนรีวิวไปพอสมควร ซึ่งได้คะแนน 900 และ 3047 คะแนน พอสมควร อาจเป็นเพราะแรมที่เพิ่มมาเป็น 12GB และปัจจัยอื่นเช่น การระบายความร้อน ความเร็วหน่วยความจำ
กล้องถ่ายภาพ
กล้องหลังหลักที่มีขนาดใหญ่ เพราะใช้เซ็นเซอร์ภาพ ISOCELL GN2 ของ Samsung ที่มีขนาด 1/1.12 นิ้ว ความละเอียดอยู่ที่ 50MP รูรับแสง f/2.0 กล้องรองสองกล้องเป็นกล้องอัลตร้าไวด์ 48MP f/4.1 และกล้องซูม periscope 48MP f/2.2 ซูมได้ 5x ไฮบริดซูมสูงสุด 120x ส่วนกล้องหน้าเป็นแบบเจาะรู 20 MP, f/2.2 ไม่มีอะไรพิเศษ มีโหมด Beauty ติดมาเช่นเคย
ตัวอย่างภาพถ่าย
สำหรับกล้องซูม 5x ภาพยังชัดเจน แต่เมื่อลองนำมาทดสอบซูมแบบไฮบริด 120x ภาพค่อนข้างแตกเป็นวุ้น และถ่ายภาพยากพอสมควร เพราะสั่นนิดเดียวภาพก็หลุดไปจากจุดที่อยากถ่ายแล้ว หลังจากนั้นผู้เขียนจึงลดการซูมลงมาเรื่อยๆ และพบว่าการซูมที่ 50x น่าจะเป็นระดับการซูมสูงสุดที่ภาพยังใช้งานได้จริง นอกจากนี้ในการทดสอบถ่ายภาพ ผู้เขียนพบว่าบริเวณโมดูลกล้องอุ่นขึ้นอย่างรู้สึกได้ การประมวลผลภาพน่าจะใช้ประสิทธิภาพเครื่องหนักพอสมควร
การใช้งานหน้าจอเล็กด้านหลัง
สำหรับการใช้หน้าจอเล็กด้านหลังเพื่อถ่ายภาพเซลฟี่ Mi 11 Ultra จะไม่ได้ตั้งค่าเปิดการใช้งานฟีเจอร์นี้มาจากโรงงาน ผู้ใช้จะต้องเข้าไปเปิดเองในการตั้งค่าตอนถ่ายภาพ ซึ่งผู้เขียนพบว่าหากพยายามถ่ายเซลฟี่โดยยืดสุดแขน จอพรีวิวนี้จะเลิกเกินกว่าจะมองเห็นไปหน่อย
ส่วนการใช้งานเพื่อบอกสถานะ หรือแสดงภาพอื่นๆ แทนจอ Always On Display สามารถเข้าไปตั้งค่าได้ที่ Rear Display Theme โดยจะสามารถแสดงข้อความ นาฬิกา สถานะแบตเตอรี่ แสดงว่ามี notifications ค้างอยู่หรือไม่ หรือจะใช้รูปตัวเองก็ได้ วิธีเปิดดูคือแตะที่ส่วนจอด้านหลังแบบสองครั้งติดกันแบบดับเบิ้ลแทป
สรุป
Mi 11 Ultra ยังสมกับชื่อรุ่น Ultra ของ Xiaomi อยู่ ด้วยกล้องที่ใส่มาแบบจัดเต็ม และหน้าจอด้านหลัง ที่ล้ำกว่า Mi 11 ธรรมดา รวมถึงมือถือรุ่นอื่นๆ แต่พอมาจับใช้งานจริงแล้ว ประโยชน์ที่ได้มาเช่นการถ่ายภาพที่ดีขึ้น หรือจอพรีวิวด้านหลัง อาจไม่คุ้มกับโมดูลกล้องที่ใหญ่เทอะทะ และน้ำหนักที่มากขึ้น ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการใช้งานเป็นเวลานาน
Mi 11 Ultra มีวางจำหน่ายแค่ 100 เครื่องเท่านั้น ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเป็นการลองตลาด เพื่อเตรียมนำมาจำหน่ายเพิ่ม หรือต้องการให้เป็นแบบจำนวนจำกัดจริงๆ แต่ในราคา 33,990 บาท ผู้เขียนมองว่าข้อเสียของตัวเครื่อง อาจจะมีเยอะเกินไปสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป แต่จะเหมาะมากกับผู้ที่ต้องการใช้งานเป็นมือถือเครื่องที่สอง สำหรับใช้แทนกล้องถ่ายภาพ หรือผู้ที่ต้องการฟีเจอร์ที่จัดเต็มที่สุดของ Xiaomi เท่านั้น