ปัญหาสำคัญมากอันหนึ่งของโครงการ Mono (.NET เวอร์ชันโอเพนซอร์ส) คือไมโครซอฟท์ถือครองสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใน .NET Framework อยู่หลายชิ้น และไม่มีอะไรรับประกันว่าในอนาคตไมโครซอฟท์จะไม่ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาเหล่านี้ (เช่น ฟ้องบริษัทที่นำ Mono ไปใช้งานว่าละเมิดสิทธิบัตรของ .NET)
ไมโครซอฟท์เคยสัญญาว่าจะไม่ดำเนินการในเรื่องนี้ แต่นั่นก็เป็นแค่สัญญาลมปาก (ยกเว้นสัญญาที่เคยตกลงกับ Novell แต่นั่นก็คุ้มครองแค่ Novell) ล่าสุดไม่เป็นแค่ลมปากแล้ว
โครงการ Community Promise ของไมโครซอฟท์คือการอนุญาตให้ใครก็ได้ สามารถพัฒนา แจกจ่าย ขาย หาประโยชน์ ดัดแปลงเทคโนโลยีตามสเปกของไมโครซอฟท์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายโดยไม่ต้องขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร (แนวคิดคล้ายๆ กับ Creative Commons) ก่อนหน้านี้ไมโครซอฟท์ได้นำเทคโนโลยีบางตัวเข้าร่วมโครงการ Community Promise บ้างแล้ว เช่น สเปกของ XPS และ VBA ส่วนล่าสุดนั้นไมโครซอฟท์จะดันเทคโนโลยีอีกสองตัวเข้ามาเพิ่ม ได้แก่ C# และ CLI (Common Language Infrastructure)
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของไมโครซอฟท์จะคล้ายๆ กับข่าว Adobe เปิดสเปก Flash เตรียมรุกตลาดมือถือ ซึ่งมีเป้าหมายเดียวกันคือเพิ่มจำนวนผู้ใช้เทคโนโลยีของตัวเอง โดยลดข้อจำกัดลง
โครงการที่ได้รับประโยชน์เต็มๆ จากคำประกาศของไมโครซอฟท์คือ Mono อย่างไรก็ตาม โครงการ Mono มีส่วนประกอบอีกหลายอย่างนอกเหนือไปจาก C# และ CLI (ซึ่งหลายๆ อย่างก็ยังติดสิทธิบัตรของไมโครซอฟท์ เช่น ASP.NET หรือ ADO.NET) ทาง Miguel De Icaza หัวหน้าโครงการ Mono ได้แสดงความยินดีกับคำประกาศของไมโครซอฟท์ผ่านบล็อกของเขา และระบุว่า Mono จะแยกตัวเองเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ปลอดภัยจากปัญหาทางกฎหมายแน่ๆ (ได้แก่ C#/CLI) และส่วนประกอบอื่นๆ ที่ยังมีความเสี่ยงทางกฎหมาย (เช่น ASP.NET/ADO.NET/Win.Forms) การแยกเป็นสองส่วนนี้จะทำให้ดิสโทรที่กังวลเรื่องกฎหมายอย่าง Debian สะดวกมากขึ้นในการรวม Mono ลงในดิสโทร (รวมแต่ก้อนแรกก้อนเดียวพอ)