AIS เป็นโอเปอเรเตอร์รายแรกๆ ที่ลงทุนกับเครือข่าย 5G เริ่มต้นเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าคอนซูเมอร์ เพื่อการใช้งานมือถือที่เร็วและลื่นไหล และชู 5G ว่าเป็นโอกาสสำคัญของเทคโนโลยีอื่นๆ อย่าง AR/VR, IoT, Smart City, Smart Transportation
แต่ในระยะหลังเราเห็นแล้วว่า 5G สามารถนำมาใช้กับกลุ่มธุรกิจองค์กรได้ด้วย Blognone ได้พูดคุยกับคุณธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าองค์กร AIS ถึงประเด็นโลกหลังจากนี้ว่า 5G จะมีบทบาทสำคัญอย่างไรต่อไป รวมถึงทิศทางของ AIS ในอนาคต
จากภาพด้านล่าง เราสามารถแบ่งการใช้งาน 5G ออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ตอนนี้เราผ่านการใช้งาน 5G Mobile กันมาแล้ว กำลังเริ่มเข้าสู่ 5G Infrastructure สำหรับกลุ่มองค์กร และในระยะถัดไป เราจะเห็น 5G เข้ามามีบทบาทสำคัญในภาคธุรกิจ 2 ด้าน คือ 5G Horizontal Solutions กับ 5G Vertical Solutions
5G Horizontal Solutions หรือการใช้งานโซลูชันที่สามารถปรับใช้ได้กับทุกอุตสาหกรรม เป็นรูปแบบการใช้งานที่เริ่มเกิดขึ้นแล้ว ยกตัวอย่างเช่นการใช้งาน AR/VR ที่AIS ร่วมกับบริษัท NTT Docomo ของญี่ปุ่น ทำ Remote Supervisor โดยให้คนที่อยู่คนละประเทศ สามารถทำงานร่วมกันโดยผู้เชี่ยวชาญสามารถเห็นภาพและข้อมูลเพื่อให้คำปรึกษากับพนักงานที่ทำงานอยู่ในโรงงานได้ผ่านเครือข่าย 5G และอีกกรณีคือ AIS ร่วมมือกับ Mitsubishi Electric และ TKK Corporation ยกระดับระบบ FA Remote (การทำงานระยะไกลในโรงงาน) เป็นต้น
สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคตคือ 5G Vertical Solutions หรือการพัฒนา 5G ในแนวดิ่ง เป็นการใช้ 5G เจาะลงลึกเฉพาะอุตสาหกรรมนั้นๆ เพื่อประโยชน์ในการทำ Digitization โดยเฉพาะ โดยโซลูชันที่เราจะได้เห็นในอนาคตจะอยู่ในรูปแบบ 5G สำหรับอุตสาหกรรมการผลิต, อสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกหรือกลุ่มโลจิสติกส์ เป็นต้น
อุตสาหกรรมการผลิต หรือ Manufacturing เป็นอุตสาหกรรมที่ยังไม่เห็นเทรนด์การทำ Digitization ชัดเท่ากับอุตสาหกรรมอื่น แต่เมื่อใด 5G เข้ามามีบทบาท เราก็จะมองเห็นการพัฒนาสายการผลิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น สามารถซ่อมบำรุงได้ล่วงหน้า เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรในโรงงานดีขึ้น ลดค่าใช้จ่ายการซ่อมบำรุง และป้องกันความเสียหายจากเครื่องจักรล้มเหลวได้อย่างมีนัยสำคัญ
ด้วยประสิทธิภาพเครือข่าย 5G ของ AIS ที่วางรากฐานไว้แล้ว 77 จังหวัด รวมถึงเขตเศรษฐกิจอีอีซี ครอบคลุมการใช้งานหลากหลายย่านความถี่ ทำให้สามารถปรับใช้งานตามความต้องการของโรงงานได้
AIS เป็นเจ้าของเครือข่ายก็จริง แต่ลำพัง AIS คนเดียวไม่สามารถนำ 5G มายกระดับอุตสาหกรรมการผลิตได้ เราจึงเห็นความเคลื่อนไหวของ AIS Business ในการสร้างพันธมิตรกับบริษัทผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมการผลิต มาพัฒนาโซลูชัน 5G ที่ใช้ในโรงงานร่วมกัน ได้แก่
จากความร่วมมือทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ AIS สามารถใช้กำลังเครือข่าย 5G ผสานกับโซลูชันของพาร์ทเนอร์ และเทคโนโลยีเมกะเทรนด์ที่ AIS มีได้แก่ คลาวด์, ระบบความปลอดภัยไซเบอร์, IoT มาสร้าง End-to-End Solution ให้ลูกค้าโรงงาน และ AIS ยังพัฒนาบุคลากรมาเรียนรู้ระบบร่วมกับพาร์ทเนอร์ เพื่อที่กลุ่มคนเหล่านี้จะมีความเชี่ยวชาญ สามารถซัพพอร์ตลูกค้า ทำให้เกิดกระบวนการ Digitization ให้เกิดขึ้นในโรงงานอุตสาหกรรม โดยลูกค้าไม่ต้องทำเองทุกอย่างตั้งแต่ต้น หรือลงทุนใหม่ทั้งหมดทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบุคลากร
การยกระดับโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็น Smart Factory ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก แต่ละโรงงานก็มีข้อจำกัดของตัวเอง ทั้งเรื่องเงินทุน การขาดแคลนบุคลากร แต่คุณธนพงษ์บอกว่า สิ่งที่สำคัญไม่แพ้เงินทุนและคนคือ วิสัยทัศน์ผู้บริหารที่ต้องการเปลี่ยนแปลง
โรงงานบางแห่งอาจติดกับความคิดที่ว่าการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ยังเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป ยังไม่จำเป็นตอนนี้ ทำให้ยังยึดติดการผลิตแบบเดิม เสี่ยงต่อการแข่งขันทางธุรกิจในอนาคต
การเปลี่ยนแปลง ทำ Digitization ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากสเกลใหญ่ โรงงานสามารถเข้ามาร่วมมือกับ AIS เพื่อหาโซลูชันเริ่มจากสายการผลิตเล็ก แล้วค่อยๆ ขยายการใช้งานไปเรื่อยๆ ซึ่ง AIS และพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจมี End-to-End Solution ให้ลูกค้าโรงงานได้
ผู้ที่สนใจบริการธุรกิจจาก AIS เพิ่มเติม สามารถดูข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ได้ที่หน้าเว็บไซต์ของ AIS Business ได้ทันที หรือติดต่อเจ้าหน้าที่ AIS Business ที่ดูแลท่านอยู่