ก้าวต่อไปของ KBTG ส่ง KASIKORN X สู่โลกแห่งสินทรัพย์ดิจิทัล DeFi ไปจนถึง NFT

by sponsored
20 October 2021 - 10:00

KBTG จัดงาน The Next Chapter of KBTG แถลงกลยุทธ์สำคัญของบริษัท พร้อมทั้งเปิดตัวอภิมหาโปรเจกต์มากมายที่จะสร้าง Impact ต่อโลกธุรกิจ การเงิน และเทคโนโลยีในประเทศไทย

ภายในงานมีการเปิดตัวกลยุทธ์อย่างเป็นทางการของ KASIKORN X หรือ KX บริษัทลงทุนในเทคโนโลยีเกิดใหม่ ที่มีภารกิจสร้าง Fintech Unicorn รายแรกของประเทศไทยให้ได้ และเปิดตัว Coral แพลตฟอร์มซื้อขายงานศิลปะในรูปแบบ NFT ซึ่งถือเป็นอีกครั้งที่ KBTG ก้าวเข้าสู่โลกใหม่ทางการเงินอย่างสินทรัพย์ดิจิทัลและ Decentralized Finance (DeFi) หลังจากก่อนหน้านี้เปิดตัวบริษัทลูก Kubix ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลผ่านบล็อกเชนไปแล้ว

ในบทความนี้ Blognone จะพาไปเจาะลึกถึงก้าวต่อไปของ KBTG จากบริษัทเทคโนโลยีในเครือธนาคารกสิกรไทย สู่การแยกตัวออกมาเป็นบริษัทเทคโนโลยีอันดับต้นๆ ของไทยได้ภายในระยะเวลาไม่ถึง 5 ปี และกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในต่างประเทศ ทั้งจีน และเวียดนาม สามารถเปิดตัวบริการใหม่ๆ ที่นั่นได้ แม้จะยังไม่สามารถเดินทางไปได้ก็ตาม

KBTG ลมใต้ปีกของธนาคารกสิกรไทย

คุณกระทิง เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) เล่าที่มาของบริษัทก่อนจะพูดถึงก้าวต่อไป ซึ่งจากภาพด้านล่าง ช่วยให้เราเห็นภาพการทำงานภายในของ KBTG ชัดเจนมากขึ้น

ใน KBTG มีหลากหลายยูนิตย่อยที่ดูแลส่วนงานต่างกัน

  • KBTGSec ทำหน้าที่ดูแลคน สร้างแบรนด์ และดูแลในส่วนของความปลอดภัยไซเบอร์
  • KInfra ดูแลเรื่อง Scalable Technology สร้าง Infrastructure as a Service ให้กับทุกโปรดักต์ของ KBTG ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าธนาคารกสิกรไทย ให้สามารถรองรับ Transaction การเงินหลักสี่พันล้านครั้งต่อปีของแอปพลิเคชัน K+ ให้ได้
  • KSoft รวมนักพัฒนาไว้กว่า 1,100 ชีวิต ดูแลแอปพลิเคชันกว่า 400 ตัวของธนาคารกสิกรไทย เน้นกลักการทำงานแบบ Agile เพื่อสร้างบริการใหม่ๆ ได้เร็ว
  • Beacon Interface ดูแลเรื่องการออกแบบ UX/UI
  • KLabs ทำวิจัยเทคโนโลยีชั้นสูงอย่าง ปัญญาประดิษฐ์, วิทยาศาสตร์ข้อมูล และ บล็อกเชน

ทุกยูนิต ทำงานร่วมกันโดยใช้หลัก Synergy หรือการร่วมมือกันเพื่อพัฒนาสิ่งใหม่ ประกอบการทำงานแบบ Agile ช่วยให้ที่ผ่านมา KBTG สามารถออกโปรดักต์ใหม่ๆ และ Scale ได้อย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนาแอปพลิเคชัน K+ ให้กลายเป็นแอปการเงินอันดับหนึ่งในไทย, การเปิดตัว LINE BK บริการการเงินบน LINE ที่คนไทยใช้งานถึง 50 ล้านราย และมีคนเปิดบัญชีแล้ว 3.2 ล้านราย รวมถึงการเปิดตัว ขุนทอง แชทบอทใน LINE ช่วยคำนวณเงินให้ มีคนใช้งานแล้วกว่า 1 ล้านราย

อีกหมุดหมายสำคัญคือการเปิดตัวบริการนอกประเทศไทย ก่อตั้ง KTech ที่เมืองเสินเจิ้น ดูแลบริการและโปรดักต์ของธนาคารกสิกรไทยในจีน และดูแลลูกค้าในจีนที่ตอนนี้มี 1 ล้านรายแล้ว นอกจากนี้ KBTG ยังตั้งศูนย์พัฒนาในเวียดนาม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 ที่ยังไม่สามารถเดินทางนอกประเทศได้ แต่ KBTG ทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยหลักการทำงาน Agile from Anywhere

KASIKORN X กับเป้าหมายในการผลิตธุรกิจด้าน Decentralized Finance and Beyond

มาที่พระเอกของงานกันบ้าง ในปี 2018 KBTG เริ่มนำกลยุทธ์ธุรกิจรูปแบบ New S-Curve จับตาดูอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ด้วยการเปิดตัวบริษัท KASIKORN X เพื่อลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคต สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับธนาคารกสิกรไทย

คุณกระทิงระบุว่า บริษัท KASIKORN X จำกัด หรือ KX ทำหน้าที่เป็น Venture Builder หรือเป็นเสมือนโรงงานที่ผลิตสตาร์ทอัพและธุรกิจใหม่ๆ ทำงานเป็นอิสระ (Autonomous Venture Builder) และมีเป้าหมายในการผลิตธุรกิจด้าน Decentralized Finance and Beyond

การก่อตั้ง KX จึงสอดรับกับเทรนด์ใหม่โลกการเงิน Decentralized Finance (DeFi) หรือระบบการเงินแบบกระจายอำนาจผ่านบล็อกเชนที่ทุกฝ่ายสามารถตรวจสอบได้ ทำธุรกรรมต่างๆ ได้โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางอย่างธนาคารหรือสถาบันการเงิน ดังนั้น KX จึงมองเห็นโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ในด้านบริการทางการเงิน (Financial Service) และบริการอื่น ๆ (Non-Financial Service) ที่มีโอกาสได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมในอนาคต

ดังนั้น ภารกิจแรกของ KX คือ บ่มเพาะ ทำการสเกล และ Spin-Off ออกมาด้วยการเปิดตัวบริษัทลูก Kubix ให้บริการระบบเสนอขายโทเคน รุกธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ตั้งเป้าเป็นผู้นำในด้านการพัฒนาการลงทุนและให้ความรู้เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย Kubix ยังเป็นบริษัทแห่งแรกที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ให้การรับรองประกอบธุรกิจเกี่ยวกับ ICO หรือ Initial Coin Offering คือการระดมทุนแบบดิจิทัลด้วยการเสนอขายดิจิทัลโทเคนผ่านระบบบล็อกเชน

Coral แพลตฟอร์มซื้อขาย NFT โอกาสใหม่ศิลปินไทย

อีกหนึ่งพระเอกของงาน The Next Chapter of KBTG และอีกหนึ่งการ Spin-Off ของ KX คือ Coral แพลตฟอร์มซื้อขายผลงานศิลปะในรูปแบบ NFT ที่กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ในวงการศิลปะตอนนี้

NFT หรือ Non-Fungible Token คือ Crypto Currency ประเภทหนึ่งที่แต่ละ Token มีความแตกต่างกัน ไม่สามารถทดแทนกันได้ และมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่ว่าอะไรก็สามารถเป็น NFT ได้ผ่านการแปลงสินทรัพย์มาอยู่บนดิจิทัล ดังนั้น NFT จึงกลายเป็นโอกาสใหม่ของศิลปินที่จะขายงาน สร้างมูลค่าและให้กับผลงานศิลปะของตนเอง และยังจูงใจนักสะสมด้วย เพราะแต่ละผลงานมีเพียงหนึ่งเดียว

ดังนั้น การเปิดตัว Coral แพลตฟอร์ม NFT Marketplace จะช่วยสร้างโอกาสไร้ให้แก่ศิลปินและนักสะสม และที่สำคัญ ยังเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของ NFT ที่ซื้อได้ด้วยเงินธรรมดา หรือ Fiat Money และซื้อได้ผ่านบัตรเครดิต เดบิต หรือแม้แต่แอปพลิเคชันธนาคาร ทำลายกำแพงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลก Crypto Currency ช่วยให้ผลงานศิลปินเข้าถึงกลุ่มคนได้กว้างกว่า

Coral นอกจากช่วยสนับสนุนศิลปินไทยแล้ว ยังช่วยขจัด Pain Point ของนักสะสมผลงาน NFT ด้วยการตรวจสอบศิลปิน ลิขสิทธิ์ผลงานบนแพลตฟอร์ม ให้นักสะสมมั่นใจในการซื้อผลงาน NFT ไปสะสม นอกจากนี้ KX ยังออกแบบประสบการณ์การซื้อขายบน Coral ให้ง่าย ไม่ต่างจากการซื้อของออนไลน์

จนถึงตอนนี้ Coral มีศิลปินเข้ามาร่วมโพสต์งานศิลปะขายบนแพลตฟอร์มแล้ว 9 รายคือ ไป Lactobacillus, Tikkywow, ทรงศีล ทิวสมบุญ, เอกชัย มิลินทะภาส, ปัณฑิตา มีบุญสบาย, Benzilla, Pomme Chan, IllustraTU, และ Jiggy Bug อย่างไรก็ตามยังคงเปิดรับศิลปินและพาร์ทเนอร์เพื่อเข้าร่วมแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://coralworld.co และคาดว่าจะเปิดให้บริการแก่นักสะสมภายในช่วงปลายปีนี้

Coral ไม่ได้เปิดตัวมาเพียงเพื่อตามให้ทันต่อเทคโนโลยี NFT เท่านั้น แต่ตั้งเป้าหมายไกลกว่า โดย นายธนะเมศฐ์ อาริยวัฒน์ Head of Venture Builder, KASIKORN X ระบุว่า ตัว Coral ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง หรือทำงานเพียงลำพังได้ เพราะการสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างศิลปิน และนักสะสม ไปจนถึงคนที่ชื่นชอบงานศิลปะ ไม่ควรถูกจำกัดอยู่พื้นที่ออนไลน์เพียงอย่างเดียว

ธนะเมศฐ์ อาริยวัฒน์ Head of Venture Builder, KASIKORN X

Coral จึงประกาศพันธมิตรรายแรก คือ สยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาธุรกิจค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก ร่วมกันสร้างศูนย์รวมและต่อยอดนวัตกรรมด้านศิลปะ วัฒนธรรม และไลฟ์ไตล์ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ให้แก่ลูกค้าชาวไทยและต่างประเทศ

ซึ่งที่ผ่านมา สยามพิวรรธน์ ได้ทำงานร่วมกับศิลปินไทย และศิลปินระดับโลก ในการสร้างสรรค์ผลงานและแรงบันดาลใจ รวมถึงเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ นักเรียน นักศึกษา ได้มาใช้พื้นที่ในทุกโครงการของบริษัทมาสร้างผลงานและบริษัทก็ได้เปิดพื้นที่ของสยามพารากอน และไอคอนสยาม จัด NFT Innovation Digital Wall เพื่อให้ผู้ที่มาเยือนศูนย์การค้าได้เข้าชม NFT Art อย่างใกล้ชิด

สรุป

ตอนนี้เราก็ได้เห็นภาพชัดขึ้นแล้วว่า ก้าวต่อไปของ KBTG หรือ The Next Chapter of KBTG คือก้าวสู่โลกใหม่อย่าง Decentralized Finance (DeFi) และ NFT ซึ่งแม้ตอนนี้จะยังไม่เป็นเมกะเทรนด์ แต่อนาคต มันจะกลายเป็นโลกการเงินใบใหม่ที่ KBTG ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีเพื่อการเงินต้องเข้านร่วมเป็นส่วนหนึ่ง เพราะอย่างที่คุณกระทิงเคยบอกไว้หลายต่อหลายครั้ง ว่าโลกอนาคตในอีก 10 ปี คือโลกที่อยู่เหนือจินตนาการ และเป็นโลกที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงแบบ Continuous Disruption มานับไม่ถ้วน KBTG จึงต้องปรับตัวพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง เพื่อโอกาสการเติบโตต่อไป

Blognone Jobs Premium