คู่สามีภรรยา Zachary Cohn และ Lauryl Zenobi ได้ตัดสินใจซื้อบ้านในย่าน Northgate ที่เมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตันเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2019 โดยหลังจากเซ็นสัญญาซื้อขายและย้ายเข้ามาอยู่แล้ว พวกเขาก็พบว่าบ้านหลังที่ซื้อไม่เคยมีการเดินสายเคเบิลสำหรับอินเทอร์เน็ตมาก่อนเลย แต่เพื่อนบ้านอีก 6 หลังที่อยู่ใกล้ๆ กันมีสายเคเบิลจาก Comcast เชื่อมต่ออยู่ทั้งหมด โดย Comcast เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายเดียวในพื้นที่ดังกล่าว
Cohn จึงเริ่มติดต่อ Comcast ไปหลายครั้งแต่ไม่เคยได้รับการติดต่อกลับ และหลายครั้งก็โทรไปแล้วถูกโอนสายไปๆ มาๆ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ว่าเขาต้องทำอย่างไรจึงจะมีอินเทอร์เน็ตใช้ โดยเขาอดทนติดต่ออยู่ถึง 8 เดือนจึงตัดสินใจติดต่อไปหาสภาเทศบาลเมืองซีแอตเทิลแทนเพื่อขอความช่วยเหลือ หลังจากติดต่อหาภาครัฐไปไม่กี่วัน ก็มีวิศวกรจาก Comcast โทรกลับมาว่าบริษัทจะมาสำรวจหน้างานว่าต้องทำอะไรบ้างเพื่อจะเดินสายเคเบิลเข้าบ้าน
เวลาผ่านไปสองสามเดือน Comcast ก็ติดต่อกลับมาอีกครั้งพร้อมแจ้งว่าการเดินสายเคเบิลเข้าบ้านต้องเสียค่าใช้จ่ายถึง 27,119 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 9.95 แสนบาท โดยเจ้าหน้าที่ Comcast ระบุเพิ่มว่าจริงๆ แล้วค่าใช้จ่ายงานนี้สูงถึง 80,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 2.9 ล้านบาท แต่ให้ลูกค้าจ่ายเพียงบางส่วน ซึ่งในรายละเอียดระบุว่าต้องเดินสายเคเบิลใต้ดินจากตู้ชุมสายเข้าบ้านเป็นระยะ 181 ฟุต (ราว 55 เมตร) รวมถึงงานวิศวกรรม, การขออนุญาต, ค่าเดินทาง และค่าปรับสภาพพื้นที่ให้กลับสู่สภาพเดิม
Cohn ถึงกับอึ้งพูดไม่ออก เขาระบุว่าไม่คิดมาก่อนว่ายุคนี้ในเมืองซีแอตเทิล จะไม่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ เลยไม่ได้เช็คเรื่องนี้ก่อนเซ็นสัญญาซื้อบ้าน แต่เขายังไม่ลดความพยายาม โดยติดต่อกลับไปหาเทศบาลเมืองซีแอตเทิลอีกครั้งว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวมันบ้าเกินไปแล้ว โดยเทศบาลก็ได้หารือกับ Comcast เพิ่มเติม และได้ข้อสรุปว่าบ้านของ Cohn ตั้งอยู่ในพื้นที่รูปร่างแปลกทำให้ไม่เคยมีการเดินสายเคเบิลมาก่อน และเทศบาลก็ไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้ Comcast หรือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใดเข้ามาเดินสายเคเบิลได้ด้วย แถมงานนี้บ้านของ Cohn เป็นหลังเดียวที่มีปัญหา ทำให้ Comcast ไม่สามารถลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเดินสายไปบ้านหลายๆ หลังเพื่อลดค่าใช้จ่ายได้
ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ Cohn และภรรยาใช้งานเราเตอร์แบบเสียบซิม 4G มาตลอด ผ่านซิมของผู้ให้บริการชื่อ UnlimitedToGo ซึ่งเป็น MVNO เช่าเครือข่ายจาก AT&T อีกที โดยผู้ให้บริการรายนี้โฆษณาว่าใช้เน็ตได้ไม่จำกัด แต่เอาเข้าจริงแล้วเมื่อใช้ดาต้าถึงจุดหนึ่งก็ถูก AT&T ซึ่งเป็นเครือข่ายแม่ลดความเร็วเน็ตอยู่ดีในช่วงเวลาที่เครือข่ายหนาแน่น เขาระบุว่าตอนที่โดนลดสปีดหนักๆ แค่เข้าเว็บยังแทบจะใช้งานไม่ได้เลย โดยพวกเขาทำงานที่บ้าน ต้องประชุมออนไลน์วันละราว 6 ชั่วโมง ใช้เน็ตเดือนละราว 300GB ได้ความเร็วดาวน์โหลดราว 10-15 Mbps และอัพโหลด 5-10 Mbps เท่านั้น และหากเน็ตโดนลดสปีดก็ต้องเปลี่ยนมาแชร์เน็ตจากมือถือแทนเพื่อให้ทำงานต่อได้
Cohn ยังได้ลงทะเบียนขอใช้งาน Starlink บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมจาก SpaceX ไปด้วย และได้รับการติดต่อกลับเมื่อเร็วๆ นี้ แต่หลังจากใช้แอพของ Starlink เพื่อตรวจสอบตำแหน่งและพื้นที่ของบ้านเขา แอพก็แจ้งว่าน่าจะใช้งานได้ไม่ดีนัก เพราะเพื่อนบ้านปลูกต้นไม้สูงกันหนาแน่น และเขาได้ไปโพสต์เรื่องนี้ใน Reddit ก็ได้รับคำตอบจากผู้ใช้อื่นว่าแบบนี้ใช้งานได้แย่แน่ๆ
ความหวังสุดท้ายคือการอัพเกรดจาก 4G ไปเป็น 5G แต่ก็โชคร้ายอีกที่ตอนนี้ T-Mobile และ Verizon ยังไม่เปิดบริการเน็ต 5G สำหรับบ้านในพื้นที่ที่ Cohn อาศัยอยู่ ส่วนเครือข่าย AT&T นั้นยังไม่มีบริการ 5G สำหรับบ้านเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงจะใช้ได้ Cohn ก็เกรงว่าจะโดนบีบความเร็วเหมือนเดิมอีกอยู่ดี
Cohn ระบุว่าการที่ไม่มีการแข่งขันนั้นทำให้ผู้ใช้งานไม่มีทางเลือกอื่น และต้องโดนมัดมือชกให้จ่ายราคาใดก็ตามที่ผู้ให้บริการต้องการ ถ้าเทียบกับพื้นที่อื่นที่มีผู้ให้บริการ 2 รายขึ้นไป ลูกค้าสามารถบอกยกเลิกแล้วย้ายไปค่ายอื่นได้หากไม่พอใจกับค่าบริการ และผู้ให้บริการก็ต้องเสนอโปรโมชันเพื่อพยายามรั้งลูกค้าไว้
ทั้งนี้ ค่าเดินสายเกือบล้านบาทนี้เป็นเพียงแค่อินเทอร์เน็ตแบบเคเบิลเท่านั้น ไม่ใช่ไฟเบอร์แบบที่ใช้กันในยุคใหม่แต่อย่างใด
ที่มา - Ars Technica