ผู้พิพากษาอนุมัติตามคำขอของ Apple ในการยอมจ่ายเงินรวม 30.5 ล้านเหรียญเพื่อให้กลุ่มพนักงานยอมความในคดีที่ฟ้องร้องกันเรื่องการบังคับตรวจค้นกระเป๋าของพนักงานหลังเวลาเลิกงาน
คดีนี้เป็นการฟ้องร้องแบบกลุ่มโดยมีพนักงานของ Apple ใน California จำนวน 14,683 คน ยื่นฟ้อง Apple เพื่อเรียกร้องเงินชดเชยค่าล่วงเวลา เนื่องจากระเบียบการปฏิบัติงานของ Apple นั้นกำหนดให้มีการตรวจค้นกระเป๋าของพนักงานก่อนกลับบ้าน ทำให้เหล่าบรรดาพนักงานต้องเสียเวลาเพิ่มเติมอีก 10-15 นาทีหลังเลิกงานทุกวัน ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ 25 กรกฎาคม 2009 จนถึง 10 สิงหาคม 2015 ซึ่งกลุ่มผู้ฟ้องระบุว่าเป็นการปฏิบัติที่ทำให้รู้สึกอับอายอีกทั้งยังเป็นการทำให้เสียเวลาโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าล่วงเวลาด้วย
ทางฝั่ง Apple นั้นอ้างว่าพนักงานทราบระเบียบข้อนี้ดีอยู่แล้ว โดยการตรวจค้นนั้นเป็นไปเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการลักขโมยทรัพย์สินของบริษัทออกไปจากที่ทำงาน นอกจากนี้ Apple ระบุว่าได้ให้ทางเลือกแก่พนักงานที่จะไม่นำกระเป๋าส่วนตัวมาทำงานก็ได้ หรือหากนำมาแต่ไม่ต้องการให้เสียเวลาก็สามารถทิ้งกระเป๋าไว้ที่บริษัทเพื่อให้มีการตรวจสอบโดยไม่เสียเวลาของตัวพนักงานเอง
คดีนี้มีการสู้กันมาหลายชั้นศาล โดยแรกเริ่มศาลชั้นต้นพิจารณาตัดสินให้ Apple เป็นผู้ชนะคดีและไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยใดๆ แต่เมื่ออุทธรณ์เรื่อยมาจนกระทั่งมาถึงชั้นฎีกาก็ได้มีคำตัดสินเมื่อปี 2020 ในประเด็นเรื่องการทำให้เสียเวลาหลังเลิกงาน โดยอ้างอิงกฎหมายรัฐแคลิฟอร์เนียและตัดสินว่าการตรวจค้นกระเป๋าพนักงานนั้นเข้าเกณฑ์การปฏิบัติงานนอกเวลาทำงานและ Apple จะต้องจ่ายค่าทำงานล่วงเวลาให้แก่เหล่าพนักงานที่ต้องเสียเวลารอการตรวจค้นกระเป๋าหลังเลิกงาน โดยข้อวินิจฉัยของศาลฎีกาตอนหนึ่งระบุว่า
ชั่วโมงทำงานนั้นถูกนิยามว่าหมายถึงช่วงระยะเวลาในระหว่างที่ลูกจ้างอยู่ในการควบคุมดูแลของผู้ว่าจ้าง และรวมถึงระยะเวลาที่ลูกจ้างต้องทนรอหรือได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติงาน, ไม่ว่าช่วงเวลาดังกล่าวนั้นจะเกิดขึ้นจากการร้องขอของนายจ้างหรือไม่
หลังมีคำตัดสินออกมา Apple ก็ใช้เวลาในการเจรจาเพื่อไกล่เกลี่ยยอมความกับกลุ่มพนักงานผู้ฟ้องร้อง จนเมื่อเดือนมกราคม 2022 นี้เอง Apple ได้เปิดเว็บไซต์ให้พนักงานทั้งที่ยังปฏิบัติงานอยู่ในปัจจุบันและอดีตพนักงานได้เข้ามาอ่านข้อเสนอตกลงยอมความและเปิดให้ลงชื่อพร้อมแจ้งข้อมูลเพื่อการเคลมเงินชดเชยตามคำตัดสินของศาล
จนในที่สุด Apple ก็ได้ข้อมูลมาพิจารณาการจ่ายเงินชดเชยรวม 30.5 ล้านเหรียญ และล่าสุดศาลได้อนุมัติเห็นชอบต่อการจ่ายเงินชดเชยเพื่อยอมความในคดีนี้แล้ว