พบกันอีกครั้งกับนิทรรศการเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น Tokyo Game Show 2022 สำหรับปีนี้นั้นงานจัดขึ้นเมื่อวันที่ 15-18 กันยายนที่ผ่านมา ณ ศูนย์แสดงสินค้า Makuhari Messe โดยในที่สุดปีนี้สามารถกลับมาจัดงานออฟไลน์เต็มรูปแบบนับตั้งแต่งานในปี 2019 ครับ (จริง ๆ ปีที่แล้วจะมีส่วนออฟไลน์เช่นกัน แต่เป็นงานขนาดเล็กมาก และจำกัดผู้เข้าร่วมงานเฉพาะผู้เกี่ยวข้องและสื่อมวลชนเท่านั้น) และแน่นอนว่าผมก็มีโอกาสได้ไปร่วมงาน และเก็บบรรยากาศมาฝากกันเช่นเคยครับ
คำเตือน: ภาพประกอบเยอะมาก
จุดหมายหลักในปีนี้ของผมคือการมาทดลองเล่น PlayStation VR2 (PSVR2) ครับ ซึ่งถึงแม้ปีนี้ Sony จะไม่มาร่วมงานโดยตรง แต่ก็ส่งเครื่องมาให้ทดลองเล่น Resident Evil Village VR (RE8VR) ได้ที่บูท Capcom ครับ (อ่านพรีวิวแบบเต็ม ๆ ได้ที่นี่) สรุปแบบย่อ ๆ คือตัวเครื่อง PSVR2 พัฒนาขึ้นจากรุ่นแรกเป็นอย่างมาก เหมือนนำเอาข้อดีจาก Headset เจ้าอื่น ๆ มารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นจอละเอียดสูงที่แยกอิสระจากกันจากสำหรับตาแต่ละข้างจาก Valve Index หรือ Inside-Out Tracking และ Controller จาก Meta Quest 2 และคงไว้ซึ่ง Mounting System ที่สวมใส่สบายที่สุดในตลาดจาก PSVR เองครับ
สำหรับตัวเกม RE8VR นั้น ส่วนที่ได้เล่นเป็นช่วงเริ่มเกม แต่มีอาวุธคือมืดและปืนพกติดมาให้ทดลองเล่นครับ ลูกเล่นที่แตกต่างจากเวอร์ชั่นปกติคือเราสามารถปามีดได้ด้วย ปาเสร็จแล้วมีดก็จากเทเลพอร์ทกลับมาที่มือเราโดยอัตโนมัติ แต่ Damage ค่อนข้างต่ำ และปาให้โดนยากมากครับ ส่วนปืนพกนั้นต้อง Reload แบบ Manual คือกดปุ่มถอดซองกระสุน หยิบซองใหม่ใส่ และดึงคันชัก ซึ่งเวลาต้องทำระหว่างโดนซอมบี้รุมอยู่ก็ลุกลี้ลุกลนใช้ได้ครับ และที่ประทับใจที่สุดคือคุณแม่ Dimitrescu นั้น (ตัว) ใหญ่มาก!
อีกเกมที่โดดเด่นคือ Street Fighter 6 ครับ ซึ่งสามารถลองเล่นได้ในงานเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้ลองเล่น เนื่องจากกว่าจะเล่น RE8VR จบ คิวก็ยาวเป็นหางว่าวไปแล้วครับ
ส่วนเกมอื่น ๆ ที่น่าสนใจก็มี Rockman EXE Advance Collection (ชื่อภาษาอังกฤษคือ Megaman Battle Network Legacy Collection), Monster Hunter Rise Sunbreak ที่นำหุ่นสุนัข Palamute (ตัวเดียวจากงานปีที่แล้ว) มาจัดแสดง, และ Exoprimal ครับ
ที่โดดเด่นที่สุดของบูทนี้คือบอลลูน Sonic ขนาดมหึมา ที่นำมาโปรโมตเกม Sonic Frontiers ครับ ซึ่งผมก็ได้ไปลองเล่นมาด้วย โดยในภาคนี้กลายเป็นเกม Open-World แบบเต็มตัว Art Direction มีกลิ่นไอ Breath of the Wild (BotW) อยู่บ้าง แต่ภาพออกไปทางกึ่งสมจริงมากกว่า Stylized แบบ BotW ครับ การควบคุม Sonic ตอน 3D Platforming นั้นผมรู้สึกว่ายังตะกุกตะกักอยู่บ้าง (เช่นกะระยะกระโดดพลาด) ซึ่งอาจจะเป็นเพราะผมยังไม่คุ้นเคยกับการควบคุมในเกมก็เป็นได้ครับ ระบบการต่อสู้ทำได้ดีกว่าที่คิด การโจมตีหลัก ๆ คือกดปุ่มสี่เหลี่ยมแล้ว Sonic จะพุ่งเข้าไปโจมตีศัตรูที่ Lock เป้าไว้อัตโนมัติ ไม่ต้องเล็งเองทำให้ลื่นไหลมาก นอกจากส่วน Open World แล้ว มีอีกโหมดหนึ่งที่ผมชอบมากคือ Cyberspace โดยจะต้องเก็บเกียร์จากศัตรูใน Open-World เพื่อเอามาปลดล็อคเข้าไปเล่นครับ โหมดนี้จะเป็นลักษณะ Challenge Run คือวิ่งตามเส้นทาง On-Rail ไปหาเป้าหมายให้เร็วทึ่สุด เป็นโหมดที่คงไว้ซึ่งเสน่ห์ของเกม Sonic ซึ่งก็คือความเร็วได้เป็นอย่างดีครับ
อีกเกมหลักที่ SEGA ดันในปีนี้คือ Like a Dragon Ishin! Kiwami โดยเป็น Remake ของ Ryu ga Gotoku Isshin! ซึ่งเป็นเกมเดียวเดียวในซีรีส์ Like a Dragon (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Yakuza แต่ SEGA ประกาศจะเลิกใช้ชื่อนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อภาษาญี่ปุ่น) ที่ยังไม่เคยแปลเป็นภาษาอังกฤษครับ
อีกฝั่งหนึ่งของบูทนั้นโปรโมทเกม Persona 5 Royal ที่เพิ่งพอร์ทลง Nintendo Switch ครับ มีการนำหุ่น Persona ของตัวเอกจากภาค 3, 4, และ 5 มาจัดแสดง แต่ตัวเกมนั้นเข้าใจว่าเหมือนเดิมทุกประการ ผมเลยไม่ได้ไปลองเล่นครับ
เกมที่น่าสนใจที่สุดของบูทคือ Forspoken ครับ ซึ่งนำมาให้ทดลองเล่นทั้งเวอร์ชั่น PlayStation 5 และ PC โดยถ้าเลือกเล่นบน PC นั้นแถวจะสั้นกว่ากันมาก เนื่องจากไม่มีแจกของที่ระลึก เท่าที่ผมลองเล่น (เลือกเวอร์ชั่น PC) รู้สึกว่าระบบ Combat ของเกมนี้ค่อนข้างสนุกทีเดียวครับ สามารถสับเปลี่ยนระหว่างใช้เวทย์ดาบต่อสู้ระยะประชิด กับยิงเวทย์ต่อสู้ระยะไกลได้อย่างลื่นไหล ระบบต่อสู้มีความรู้สึกคล้ายคลึงกับ Final Fantasy XV (FFXV) อยู่เล็กน้อย เนื่องจากมีสกิลสามารถพุ่งวาร์ปไปฟันศัตรูได้แบบ Noctic เลย จะเรียกว่าเป็น FFXV ที่ทำเสร็จแล้วก็ได้
อีกเกมที่ผมได้ไปลองเล่นมาคือ Crisis Core Final Fantasy VII Reunion โดยระบบการต่อสู้นั้นคล้าย ๆ กับเอาระบบ Slot Machine จากภาคต้นฉบับ มารวมกับ Final Fantasy VII Remake ครับ ที่่สำคัญคือในเดโมที่ได้เล่นนั้นมี Yuffie สมัยเด็กโผล่มาด้วย กรี๊ด
เกมอื่น ๆ ที่น่าสนใจก็มี Star Ocean The Divine Force กับ Valkyrie Elysium ซึ่งทั้งสองเกมนี้นั้นสามารถดาวน์โหลดเดโมมาเล่นได้ที่บ้านอยู่แล้ว ผมจึงข้ามไปครับ
อีกหนึ่งไฮไลท์ของงานนี้สำหรับผมคือเกม Atelier Ryza 3 ที่คาดว่าจะเป็นภาคจบในซีรีส์ Ryza ครับ ที่เด่นที่สุดของบูทคือหุ่น Ryza จากเกมทั้ง 3 ภาคขนาด "ใหญ่" เท่าตัวจริงกว่าตัวจริงที่วางเรียงกัน สังเกตได้ถึงพัฒนาการของ Ryza ที่ "โต" ขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งก็มีคนรุมถ่ายกันอย่างเนือง "แน่น" ตลอดเวลา จนบางส่วนอาจจะต้อง "ล้น" ไปถ่ายกันจากด้านหลังเลยทีเดียวครับ
แน่นอนว่าติ่งสาวปรุงยาอย่างผมต้องไปลองเล่นมาด้วย นอกจากงานภาพที่พัฒนาขึ้นตามกาลเวลาแล้ว ข้อแตกต่างจากภาคก่อนหน้าที่ชัดเจนที่สุดคือ ภาคนี้มีความเป็น Open-World มากขึ้น Field กว้างใหญ่ สวยงามมากครับ แต่ Point of Interests นั้นค่อนข้างกระจัดกระจาย คิดว่าหากเริ่มคุ้นเคยกับแผนที่แล้ว การเดินทางจากจุดหนึ่ง ไปอีกจุดหนึ่ง ถ้าไม่ใช้ Fast Travel ก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจระหว่างทางสักเท่าไหร่ ส่วนระบบปรุงยา และ Combat นั้น ค่อนข้างคล้ายคลึงกับภาคก่อนหน้าครับ
อีกครึ่งบูทเป็นของเกม Wo Long ครับ ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็คือ Nioh ภาคสามก๊กนั่นแหละ แต่นอกจากธีมที่เปลี่ยนจากญี่ปุ่นเป็นจีนแล้ว ระบบการต่อสู้ก็เปลี่ยนไปพอสมควร ไม่มีเกจ Stamina แล้ว ทำให้การต่อสู้รวดเร็วขึ้น ให้ความรู้สึกคล้าย ๆ Sekiro ครับ เกมนี้ผมอุตส่าห์ไปต่อคิวรอเล่นเกือบชั่วโมง แต่กลับถึงบ้านมาเห็นข่าวว่า Demo เปิดให้ดาวน์โหลดเล่นได้จากที่บ้านเลย ก็แอบหลังหักเล็กน้อย
สำหรับบูท Konami นั้น ก็หนีไม่พ้นเกมคู่บุญของค่ายอย่าง Yu-Gi-Oh! Master Duel, Super Bomberman R 2, และ eFootball (ที่รู้จักกันในชื่อเดิมคือ Pro Evolution Soccer หรือ Winning Eleven) ที่น่าสนใจคือตรงฝั่ง Yu-Gi-Oh! นั้น ให้ทดลองเล่นกันบนเก้าอี้ Battle Station ซึ่งแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเกมเพลย์ แต่คะแนนความเท่นั้นกินขาดครับ
ด้านหลังของ Konami เป็นส่วนจัดแสดงของ Partner ซึ่งขาประจำในโซนนี้ก็ยังเป็น Nihon Falcom ที่นำเกม Kuro no Kiseki II มาให้ทดลองเล่นครับ โดยส่วนตัวแล้วผมสนใจเกมทางฝั่งนี้มากกว่าเกมทางด้านหน้าบูทเสียอีก ช่วงที่ผมเดินผ่านไป เป็นช่วงที่กำลังมีการแสดงดนตรีจากวงประจำค่าย Falcom jdk BAND บนเวทีหลักพอดีอีกด้วยครับ
แม้จะเปิดตัวและวางจำหน่ายในสหรัฐมาได้สักระยะแล้ว แต่ Steam Deck เพิ่งจะเปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นครับ โดยในงานนี้ผมมีโอกาสได้สัมผัสตัวเครื่องของจริงเป็นครั้งแรก ต้องบอกว่าประทับใจกว่าที่คิดครับ เกมที่ผมได้ลองเล่นคือ Elden Ring, Marvel's Spider-Man Remastered, และ Death Standing Director's Cut ซึ่งก็เล่นได้อย่างลื่นไหลทุกเกม ผมได้ลองเล่นบน Bean Bag นอนตีลังกา กลิ้งไปกลิ้งมา ราว ๆ 15 นาที ไม่รู้สึกว่าเครื่องหนักแต่อย่างใด จะมีจุดติก็คือปุ่มต่าง ๆ ทั้ง D-Pad, Face Button, Analog Stick, และ Touch Pad ที่ยัดมาบนเครื่องนั้นค่อนข้างเบียดเสียด เล่นไปสักพักจะรู้สึกอึดอัดกว่าใช้ Controller ปกติอย่างชัดเจนครับ
Bandai Namco นำเกมจากแฟรนไชส์อนิเมชื่อดังต่าง ๆ มาจัดแสดงเช่นเคย โดยเกมหลัก ๆ ในปีนี้คือ One Piece Odyssey, Dragon Ball: The Breakers, และ Doraemon Story of Seasons: Friends of the Great Kingdom ซึ่งค่อนข้างจะมีแต่แฟรนไชส์เมนตรีม ไม่ค่อยถูกจริตโอตาคุสักเท่าไหร่ครับ
bHaptics เอา Full-body Haptics VR Suit มาให้ทดลองเล่นครับ นอกจากชุดส่วนอกแล้ว ยังมีถุงมือให้ลองใส่อีกด้วย ผมลองเล่นแล้วรู้สึกว่ายังสั่นค่อนข้างเบา ไม่รู้สึก Immersive สักเท่าไหร่ และระบบ Tracking ของถุงมือเข้าขั้นแย่ Demo ที่ผมได้ทดลองเล่นนั้น Error ไปหลายรอบมากครับ
ELSA Japan นำ Houshou Marine PC และ Hakos Baelz PC มาให้ชมครับ ติ่ง Hololive เห็นแล้วต้องกรีดร้อง ของจริงสวยมาก ๆ น่าเสียดายที่ขายพ่วงเป็นชุด ไม่ขายแยกแต่เคส ไม่งั้นผมคงโดนแน่ ๆ
ถึงแม้ปีนี้ Kojima Production จะไม่ออกบูทในส่วนจัดแสดง แต่มีบูทขายของครับ นอกจากนี้ยังแอบมี Tease เกมใหม่เล็ก ๆ อีกด้วย
ภาพรวมงานปีนี้กลับมาคึกคักอีกครั้ง บรรยากาศภายในงานโดยเฉพาะวัน Public Day นั้นเต็มไปด้วยผู้คนเนืองแน่น เหมือนช่วงก่อนโควิดเลยครับ ภาพทั้งหมดจากงานผมได้รวมไว้ในอัลบัมนี้แล้ว ผมต้องขอขอบคุณ Blognone ที่ให้โอกาสผม (และทีมงาน) ได้เป็นตัวแทนไปร่วมงานและเก็บประสบการณ์มาแบ่งปันครับ
สุดท้ายนี้ก่อนจากกัน ผมขอส่งท้ายด้วยสิ่งที่น่าสนใจครับ เชิญรับชม