EU เห็นชอบร่างกฎใหม่ที่จะแบนการผลิตรถยนต์โดยสารที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (หรือแปลง่ายๆ ก็คือรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน) ตั้งแต่ปี 2035 และเพื่อให้ถึงเป้าหมายนั้นได้มีการตั้งเป้าว่าภายในปี 2030 รถยนต์โดยสารจะต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงให้ได้ 50%
EU ถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานกำกับดูแลที่จริงจังเข้มงวดกับมาตรฐานอุตสาหกรรมยานยนต์ว่าด้วยเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากหากเทียบกับภูมิภาคอื่นในโลกขณะนี้ ปัจจุบัน EU บังคับให้ผู้ผลิตรถยนต์ที่ขายในยุโรปจะต้องผลิตรถที่ปล่อยก๊าซเฉลี่ยไม่เกิน 95 กรัมต่อระยะทางวิ่ง 1 กิโลเมตร
หากผู้ผลิตรถยนต์ไม่สามารถทำได้ตามตัวเลขข้างต้นนี้ EU จะสั่งปรับเงินจากผู้ผลิต 95 ยูโรต่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1 กรัมที่สูงกว่าเกณฑ์ต่อรถ 1 คัน ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ถ้าผลิตรถออกมาขาย 1,000 คัน โดยแต่ละคันมีผลการทดสอบปล่อยก๊าซ 96 กรัม ต่อระยะทางวิ่ง 1 กิโลเมตร (เกินมาตรฐานไป 1 กรัม) ก็ต้องเสียค่าปรับ 1,000*1*95 = 95,000 ยูโร ซึ่งเกณฑ์นี้ถูกบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2020
ทั้งนี้จากการเก็บข้อมูล ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉลี่ยของรถยนต์โดยสารในยุโรปปี 2019 อยู่ที่ 122.3 กรัมต่อระยะทางวิ่ง 1 กิโลเมตร และลดลงมาเหลือ 107.5 กรัม ในปี 2020 (สามารถดูค่าเฉลี่ยการปล่อยก๊าซของรถยนต์โดยสารในยุโรปย้อนหลังตั้งแต่ปี 2000 เปรียบเทียบกับเกณฑ์ของ EU ที่ปรับเข้มงวดขึ้นตามช่วงเวลาได้จากแผนภูมิด้านล่างนี้)
ที่มาข้อมูลจาก Europian Environment Agency
ทั้งนี้ตัวเลขเกณฑ์การปล่อยก๊าซของรถยนต์โดยสารตามกฎของ EU จะเข้มงวดมากขึ้นโดยตัวเลขดังกล่าวจะถูกปรับเหลือ 80.8 กรัม ในปี 2025 และผู้ผลิตรถยนต์จะถูกบังคับให้ลดการปล่อยก๊าซไม่เกิน 59.4 กรัม ในปี 2030 ก่อนจะมีการแบนการผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในอย่างสมบูรณ์ในปี 2035
หากสงสัยว่าค่าเฉลี่ยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของรถในยุโรปและมาตรฐานที่ถูกตั้งไว้นั้นมากหรือน้อยเพียงใด ก็อาจพิจารณาเปรียบเทียบกับข้อมูลจากฝั่งสหรัฐอเมริกาที่รวบรวมจัดทำโดย EPA (หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา) ซึ่งระบุว่าค่าเฉลี่ยของรถยนต์ในปี 2018 นั้นปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 404 กรัมต่อระยะทางวิ่ง 1 ไมล์ หรือเทียบเท่ากับ 252.5 กรัมต่อระยะทางวิ่ง 1 กิโลเมตร
อย่างไรก็ตามกฎใหม่นี้มุ่งเน้นไปที่ "รถยนต์โดยสาร" (passenger cars and vans) ซึ่งนั่นย่อมไม่รวมถึงรถยนต์ใช้งานเพื่อการบรรทุกขนส่งหรือรถเพื่อใช้งานพิเศษอย่างอื่น (ตัวอย่างเช่น รถเครน, รถดับเพลิง ฯลฯ) จึงน่าสนใจว่านโยบายที่เกี่ยวข้องกับรถบรรทุกและรถใช้งานเพื่อการอื่นนอกเหนือจากการโดยสารนี้จะมีทิศทางอย่างไร หรือจะมีการบังคับใช้กฎแบนระบบเครื่องยนต์สันดาปภายในตามหลังกลุ่มรถยนต์โดยสารหรือไม่
ที่มา - Ars Technica