John J. Ray III ซีอีโอคนใหม่ของ FTX ที่เข้ามาปรับโครงสร้างบริษัทหลังยื่นขอล้มละลาย ส่งรายงานการเข้าสอบสวนสถานการณ์ของ FTX ต่อศาล โดยระบุว่า FTX เป็นบริษัทที่มีระบบควบคุมภายในแย่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาตลอดชีวิตการทำงานเลยทีเดียว
ตัวของ John J. Ray III เชี่ยวชาญเรื่องการฟื้นฟูกิจการอย่างมาก ทำงานเรื่องนี้มากว่า 40 ปี และเขาเคยเข้าไปจัดการปัญหาของบริษัท Enron ที่ล้มละลายในปี 2001 ซึ่งเขาบอกว่า FTX แย่ที่สุดตั้งแต่เคยทำงานสายนี้มา
Never in my career have I seen such a complete failure of corporate controls and such a complete absence of trustworthy financial information as occurred here.
ก่อนหน้านี้ Sam Bankman-Fried เพิ่งให้สัมภาษณ์ว่าปัญหาของ FTX เกิดจากการลงบัญชีที่แย่ (messy accounting) รายงานของ John J. Ray III ก็แสดงให้เห็นว่าระดับของความแย่นั้นเป็นอย่างไร
ตัวอย่างปัญหาที่พบใน FTX ได้แก่
- พนักงานยื่นขอเบิกเงินผ่านการแชท โดยผู้อนุมัติใช้ emoji ประจำตัวเป็นการยืนยันว่าอนุมัติแล้ว
- การตามหาร่องรอยของเอกสารทำได้ยาก เพราะใช้แชทกันเป็นหลัก และเป็นแชทที่ตั้งให้ลบข้อความเก่าอัตโนมัติเมื่อหมดอายุ
- บริษัทให้ผู้บริหารกู้เงินไปใช้ส่วนตัว เช่น Alameda Research ให้เงินกู้กับ Sam Bankman-Fried ถึง 1 พันล้านดอลลาร์ และหัวหน้าฝ่ายวิศวกรรม Nishad Singh อีก 543 ล้านดอลลาร์
- เงินทุนของบริษัทนำไปใช้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ และทรัพย์สินส่วนตัวอื่นๆ ให้กับผู้บริหารและที่ปรึกษาบางคน
- FTX ไม่เคยมีการประชุมบอร์ดใดๆ ทำให้การตรวจสอบกิจการเป็นไปไม่ได้เลย
- ไม่มีระบบบริหารเงินสดจากส่วนกลาง บริษัทไม่รู้ว่าตัวเองมีเงินสดอยู่ในมือเท่าไร
- โครงสร้างธุรกิจซับซ้อน ชื่อพนักงานปนกันอยู่ในหลายบริษัทย่อย ไม่รู้ว่าใครอยู่ที่บริษัทไหน ควรทำงานให้บริษัทใด และมี "พนักงานผี" ที่ไม่มีตัวตนจริงอยู่จำนวนหนึ่ง
- ไม่มีรายชื่อพนักงานทั้งหมด สัญญาของพนักงานแต่ละคน และสถานะล่าสุดของพนักงานแต่ละคน
- เงินคริปโตของลูกค้าไม่ถูกบันทึกลงในบัญชีงบดุล (balance sheet) ของบริษัทเลย แต่ถูกเก็บรวมกันไว้ในบัญชีคริปโตเพียงอันเดียว ใครจะนำไปใช้ทำอะไรก็ได้ ไม่มีการควบคุม
- คนจัดการเงินคริปโต มีแค่ Sam Bankman-Fried และ Gary Wang ผู้ร่วมก่อตั้งอีกคน ใช้วิธีสร้าง group mail เอาไว้แลกเปลี่ยน private key กัน
- จ้างบริษัทผู้ตรวจสอบบัญชี Prager Metis ที่ไม่มีใครรู้จัก และโฆษณาตัวเองว่ามีสำนักงานอยู่ใน Metaverse
ที่มา - Coindesk