แม้จะรักงานที่ทำอยู่แค่ไหน พอทำไปเรื่อย ๆ ก็มักจะมีช่วงที่รู้สึกว่าการทำงานเดิม ๆ กลับใช้พลังงานมากกว่าแต่ก่อน การทำงานกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมา จนบางครั้งคิดว่าอยากจะเปลี่ยนงานไปซะดื้อ ๆ แต่เมื่อการเปลี่ยนงานไม่ได้ง่ายขนาดนั้น การปลุกไฟในตัวให้เกิดขึ้นอีกครั้งก็เป็นตัวช่วยที่ดีในวันที่เราเหลือ Passion ในการทำงานอันน้อยนิด
Patricia Chen ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาของ University of Texas ได้ทำวิจัยถึงทัศนคติของคนในการทำงาน โดยแบ่งคนตามวิธีคิดออกเป็น 2 อย่าง คือ
ผลการวิจัยพบว่าคนที่มีแนวคิดแบบ Develop Theorist จะสามารถเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับงานที่หลากหลายได้ ทำให้ความพึงพอใจในการทำงานมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าในตอนแรกจะไม่ได้ชอบงานที่ทำก็ตาม ตรงข้าม Fit Theorist ที่จะไม่มีความสุขกับงานหากไม่ได้ทำงานที่ตัวเองต้องการ
ในการศึกษาชิ้นใหม่ Chen มุ่งศึกษาว่า Develop Theorist หาแรงจูงใจในการทำงานได้อย่างไรบ้าง และใช้วิธีไหนในการปลุกไฟในการทำงาน โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี 316 คนที่เรียนอยู่ในสาขาแตกต่างกัน โดยได้สอบถามถึงการเปลี่ยนแปลงของแรงจูงใจในการทำงานและสาเหตุที่ระดับแรงจูงใจเปลี่ยนแปลง
ผลการสำรวจพบว่า 5 วิธีหลักที่นักศึกษาใช้ในการเพิ่มแรงจูงใจมาจากการที่
จากผลการวิจัยของ Chen สรุปได้ว่า 2 วิธีหลักที่จะช่วยสร้างแรงผลักดันให้ตัวเอง โดยเฉพาะในสถานการณ์การทำงานที่ท้าทาย และมองไม่เห็นผลสำเร็จของงาน มีดังนี้
2 วิธีนี้ยังคงต้องอยู่บนรากฐานของแนวคิดว่าแรงจูงใจในการทำงานเป็นสิ่งที่พัฒนาให้มีมากกว่าเดิมได้ ความสำคัญของวิธีคิดพิสูจน์ได้ด้วยงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งของ Maila Trautner และ Malte Schwinger นักวิจัยใน University of Münster และ Philipps University of Marburg ประเทศเยอรมนีที่สำรวจนักศึกษา 700 ราย พบว่า คนที่มีแนวคิดว่าแรงจูงใจเป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้จะตื่นตัวในการทำงานมากกว่าคนที่เชื่อว่าแรงจูงใจเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้
แม้ว่าคนที่จัดอยู่ในประเภท Develop Theorist จะไม่มีปัญหาในการสร้างแรงจูงใจ แต่ Chen พบว่าคนในประเภทนี้เป็นคนส่วนน้อย ดังนั้น คนส่วนใหญ่ที่เป็นแบบ Fit Theorist จึงจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นเตือนอย่างสม่ำเสมอว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาสามารถสร้างแรงจูงใจได้ด้วยตัวเอง
ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะเป็น Develop Theorist ก็สามารถสร้างแรงจูงใจให้ตัวเองได้ด้วยวิธีการอย่างเช่น การคิดถึงเป้าหมาย มองสิ่งที่บริษัทจัดหาให้ พูดคุยกับคนที่สร้างแรงจูงใจให้เราได้ ไปจนถึงการวางแผนงานและตั้งเป้าให้รางวัลกับตัวเอง
สิ่งหนึ่งที่ควรทำคือการขอความช่วยเหลือจากหัวหน้างานหากรู้สึกหมดไฟในการทำงาน เพื่อพูดคุยกับหัวหน้าว่าเราจะเปลี่ยนแปลงงานไปในทิศทางใดได้บ้างเพื่อจะทำให้มีไฟในการทำงานและประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นหรือที่เรียกว่า “Job Crafting”
อย่างไรก็ตาม หากถึงระดับที่ไม่ว่าจะสร้างแรงจูงใจในการทำงานขนาดไหนก็ไม่รู้สึกว่ามีไฟขึ้นมา จริง ๆ แล้วแรงจูงใจอาจจะไม่จำเป็นสำหรับงานก็ได้ เราสามารถไปหาได้จากที่อื่นอย่างงานทำงานอดิเรกที่ช่วยให้รู้สึกถึงความสำเร็จและความพึงพอใจในชีวิต และทำให้งานเป็นเพียงแค่แง่มุมหนึ่งของชีวิตเท่านั้นไม่ใช่ทั้งหมด
ส่วนใครที่กำลังมองหางานประจำด้านเทคโนโลยี เข้ามาดูงานดี ๆ ได้เลยที่แหล่งรวมงานสายไอที Blognone Jobs
ที่มา - BBC