หลังปาล์มได้ประกาศผลประกอบการเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งผลคือขาดทุนน้อยกว่าที่คาด แต่ก็มีข่าวลือออกมาในแวดวงนักลงทุนหนาหูทีเดียวว่าโนเกียสนใจจะเข้ามาซื้อกิจการของปาล์ม?
Darcy Travlos นักวิเคราะห์หุ้นอิสระ จึงเขียนบทความลงในหน้าเว็บของ Forbes วิเคราะห์ถึงโอกาสและความเป็นไปได้ของข่าวลือนี้
Travlos วิเคราะห์ว่า ถึงแม้โนเกียยังครอบครองส่วนแบ่งตลาดมือถือส่วนใหญ่ แต่ในกลุ่มของสมาร์ทโฟนแล้วนั้นยังถือว่าน่าผิดหวัง อีกทั้งยังไม่ได้รับการตอบรับจากผู้ใช้เท่าที่ควร ซึ่งเห็นได้จากยอดขายของ N97 ที่ขายได้เพียง 500,000 เครื่องใน 1 ไตรมาส ในขณะที่ iPhone 3GS ของแอปเปิลทำได้ถึง 1 ล้านเครื่องในสัปดาห์แรก หรือแม้แต่ปาล์มเองที่ตลาดแคบกว่ามาก ยังทำยอดไปได้ถึง 207,000 เครื่องในเวลาเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามองแค่ตลาดสมาร์ทโฟนของสหรัฐฯ ก็จะเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อ 10 อันดับแรกนั้นไม่มีโนเกียอยู่เลยแม้แต่รุ่นเดียว โดย BlackBerry ของ RIM ยึดหัวหาดไป 4 อันดับ ที่เหลือเป็นของ iPhone 2 อันดับ, HTC 3 อันดับ และปาล์มอยู่ที่อันดับที่ 8
ด้วยสถานการณ์ที่กล่าวมา โนเกียเองก็มีแผนที่จะพัฒนาและขยายตลาดสมาร์ทโฟนของตน ซึ่งการเข้าซื้อปาล์มดูจะเป็นไอเดียที่ดีเพราะจะใช้เงินเพียง 1 ใน 3 ของทุนวิจัยและพัฒนาประจำปี และที่สำคัญคือ โนเกียจะได้รับ DNA จากปาล์มอีกด้วย
Most importantly, Nokia would get Palm's DNA.
Travlos บอกว่า ปาล์มนั้นโตมาใน Silicon Valley จากฝั่งของผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ ในขณะที่โนเกียนั้นโตมาจากฝั่งโทรคมนาคมและการสื่อสาร ซึ่งแนวความเชื่อของทั้งสองฝั่งต่างกันอย่างมาก ฝั่งสื่อสารก็จะมองฝั่งคอมพิวเตอร์เป็นแค่ฟีเจอร์เสริมในโลกของการสื่อสารเท่านั้น แต่การมาของ RIM และ แอปเปิลทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป ฝ่ายสื่อสารเองหันมามองอีกฝ่ายหนึ่งมากขึ้น ซึ่ง ปาล์ม + โนเกีย = คอมพิวเตอร์ + การสื่อสาร เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ถ้าโนเกียเข้าซื้อปาล์มจริงๆ ก็จะเป็นการส่งเสริมซึ่งกันและกัน โนเกียเองจะแกร่งขึ้นในสายการผลิตสมาร์ทโฟน ส่วนปาล์มเองก็มีช่องทางเพิ่มขึ้น และมีโอกาสขึ้นมาท้าทายกับเบอร์ 1 ของตลาดคือ RIM ได้อย่างจริงจังมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เธอได้ตั้งข้อสังเกตในตอนท้ายว่า โนเกียยังมีแผนพัฒนา Symbian อยู่และถ้าจะเปลี่ยนไปใช้ webOS ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ซึ่งทำให้ความน่าจะเป็นที่จะเข้าซื้อปาล์มนั้นลดลง แต่กระนั้นก็เถอะ เมื่อ 30 ปีก่อน โนเกียยังทำธุรกิจขอนไม้กับรองเท้ายางอยู่เลย เพราะฉะนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้!
ที่มา - Forbes