สัปดาห์ที่ผ่านมา NVIDIA เริ่มวางขาย GeForce RTX 4060 รุ่นเดสก์ท็อป ซึ่งถือเป็นการ์ดที่ราคาถูกที่สุดในเจน 4000 Ada Lovelace (ยังไม่ชัดว่าจะมี 4050 เวอร์ชันเดสก์ท็อปตามมาอีกหรือไม่)
รีวิวจากสื่อต่างประเทศหลายรายก็ออกมาในทางเดียวกันว่า GeForce RTX 4060 เป็นการ์ดระดับเมนสตรีม ออกแบบมาเพื่อเล่นเกมความละเอียด 1080p โดยมีราคา 299 ดอลลาร์ ลดลงจากการ์ดรุ่น 60 ของเจนก่อน (3060) อีกทั้งประหยัดพลังงานมากขึ้นกว่าเจนก่อนๆ มาก (TDP 115W vs 3060 ที่ 170W) ซึ่งเป็นข้อดีของสถาปัตยกรรม Ada Lovelace ในภาพรวม
สมรรถนะของ 4060 ถือว่าเพิ่มขึ้นจาก 3060 และเป็นรอง 3060 Ti อยู่เล็กน้อย มีสมรรถนะใกล้เคียงกับการ์ดคู่แข่งระดับเดียวกันคือ Radeon RX 7600 ที่ให้แรมเยอะกว่า (12GB) และราคาถูกกว่ากัน 30 ดอลลาร์ อีกตัวเลือกที่น่าสนใจคือ Radeon 6700 XT ของเจนก่อนที่ราคาลดลงมาเกือบ 300 ดอลลาร์เท่ากันแล้ว แต่ถ้าวัดสมรรถนะแบบเปิด Raytracing ด้วย 4060 ยังเหนือกว่าค่าย AMD
อย่างไรก็ตาม มันมีข้อจำกัดสำคัญเรื่องแรมเพียง 8GB แบนด์วิดท์ 128-bit ซึ่งลดลงจาก 12GB 192-bit ของ 3060 (รวมถึงการ์ดรุ่น 60 เจนก่อนๆ) ทำให้เริ่มไม่พอแล้วสำหรับเกมยุคปัจจุบันที่มีปริมาณเท็กซ์เจอร์เยอะๆ (แม้ความละเอียดแค่ 1080p) ซึ่งเป็นจุดอ่อนเดียวกับ 4060 Ti รุ่น 8GB ที่วางขายไปก่อนหน้านี้ และโดนวิจารณ์เรื่องนี้อย่างมากว่า NVIDIA ลดต้นทุนจนเกินไป โดย PC Gamer บอกว่ามันควรเรียกว่า 4050 มากกว่า 4060 ด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ฟีเจอร์เด่นของค่าย NVIDIA อย่างการเปิด DLSS3 เพื่อเพิ่มเฟรมเรต ก็ยังไม่ค่อยมีประโยชน์มากนัก เพราะมีเกมรองรับน้อย แต่ถ้าซื้อมาเพื่อเล่นเกมเหล่านี้ (เช่น Cyberpunk, Forza Horizon 5, Hitman 3) ก็ช่วยเพิ่มเฟรมเรตได้จริง
เว็บไซต์ Ars Technica ให้นิยามว่า 4060 เป็นการ์ดจอระดับกลางๆ สำหรับคนส่วนใหญ่ (The midrange GPU for most people) ที่ไม่มีเงินถุงเงินถังซื้อการ์ดราคาแพงๆ การอัพเกรดจากการ์ดรุ่นเก่าตั้งแต่ 2060 ลงไปถือว่าคุ้มค่า แต่ถ้าอัพเกรดมาจาก 3060 ย่อมไม่คุ้มแน่นอน เพราะประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นเจนต่อเจนมีน้อยเกินไป
ในตลาดแม้มีตัวเลือกอื่นอย่าง AMD Radeon RX 7600 และ Intel Arc A750 ที่ราคาถูกกว่า แต่การใช้การ์ด NVIDIA ก็มีข้อดีตรงที่มีเกมซัพพอร์ตเป็นจำนวนมาก เล่นได้อย่างสบายใจกว่า