ระยะหลังแบรนด์สมาร์ทโฟนของ ASUS ที่ทำตลาดในประเทศไทย จะเหลือแค่สายเกมมิ่ง ROG Phone แค่รุ่นเดียวแล้ว และเลิกขาย ZenFone มาตั้งแต่ราวปี 2019-2020
ที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันสมาร์ทโฟนตัวท็อปๆ มีให้เลือกกันหลากหลาย แล้วสมาร์ทโฟนที่เจาะเกมมิ่งโดยตรงอย่าง ROG Phone 7 จะมีความโดดเด่นหรือน่าสนใจเหนือสมาร์ทโฟนปกติอย่างไร บทความรีวิวนี้จะพาไปหาคำตอบ
หมายเหตุ รีวิวนี้ Blognone ไม่ใช่บทความที่ได้รับการสนับสนุน แต่ได้รับเครื่องจาก ASUS มาทดสอบ
สำหรับ ROG Phone 7 มีสเปคคร่าว ๆ ดังนี้
ว่ากันด้วยเรื่องหน้าจอ โดยรวมเป็นหน้าจอที่มีคุณภาพดีมากสีสันสดใสตามสไตล์ AMOLED แต่จุดเด่นของหน้าจอเครื่องนี้คืออัตราการสนองต่อการกดที่การสัมผัสลงบนหน้าจอให้ความรู้สึกว่าค่อนข้างที่จะติดจอ แตะปุ๊ปมาปั๊ปเข้ามือมาก ๆ บวกกับความถี่สูงสุด 165Hz ก็ทำให้ลื่นเข้าไปอีก แต่ส่วนตัวก็ยังแอบคิดว่า 120Hz ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว และอีกข้อดีคือจอของ ROG Phone 7 จะเว้นส่วนบนล่างเล็กน้อยทำให้ไม่มี Notch มาขวางให้กวนใจเวลาเล่นเกม
ด้านการจับถือในกิริยาบทต่าง ๆ ผู้รีวิวมองว่าตัวเครื่องออกแบบมาให้เน้นจับเล่นในแนวนอนมากกว่า เพราะการเล่นแบบแนวนอนค่อนข้างเข้ามือได้ดี แต่ในส่วนแนวตั้งต้องปรับตัวพอควรไม่สามารถใช้งานแบบมือเดียวได้เต็มอัตรานัก ยกตัวอย่าง เช่น การเอือมนิ้วไปลากแถบการแจ้งเตือนลงมา ไม่สามารถทำได้โดยใช้มือข้างเดียว จำเป็นต้องใช้อีกมือมาช่วยกด เนื่องระดับความสูงของหน้าจอทำให้นิ้วโป้งไม่สามารถเอือมถึง
ในด้าน UX/UI ของเครื่องมองเผิน ๆ อาจจะเหมือนกับมือถือ Android ทั่วไป แต่พอผู้รีวิวได้ใช้งานจริงแล้วพบว่าต้องปรับตัวนิดหน่อยครับ ด้วยความที่เป็น ROG UI แบบใหม่ ทำให้การจัดวางต่าง ๆ ไม่เหมือนกับ Android รุ่นอื่นๆ ทำให้หาอะไรไม่เจอในช่วงแรกของการใช้งานอยู่ประมาณหนึ่ง อย่างการหา setting ของเครื่อง จำเป็นต้องลาก App Drewer ขึ้นมาเพื่อไล่หา Setting เนื่องจากในหน้า Home Screen ไม่มี Setting ตรงจุดนี้เข้าใจว่ามี Armoury Crate มาเพื่อให้ใช้งานง่าย แต่ผู้รีวิวยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอต่อการใช้งานอยู่ดี
ประสิทธิภาพการใช้งานโดยรวมของตัวเครื่อง จากการ Benchmark ทั้งในแอป Geekbench 6 และ 3D Mark Wildlife ก็ให้ผลที่ค่อนข้างน่าประทับใจ เริ่มจากตัว Geekbench 6 นั้น ROG Phone 7 ทำคะแนน CPU แบบ Single Core ไปได้ 1920 ส่วน Multi-Core ทำคะแนนไปได้ 5633 ก็ถือว่าน่าจะแรงที่สุดในฝั่งมือถือ Android ณ ตอนนี้แล้ว ตัวที่แรงที่สุดในมีในฐานข้อมูลของ Geekbench 6 ในฝั่งของ Single Core คือ Samsung Galaxy S23 Ultra ที่ 1872 คะแนน ส่วน Multi Core คือ Vivo X90 Pro+ ได้ 5143 คะแนน ซึ่งถือว่าเป็นรอง ROG Phone 7 ทั้งคู่
ส่วนอีกแอปอย่าง 3DMark Wildlife ที่วัดประสิทธิภาพในด้าน GPU เป็นหลัก ผู้รีวิวนำ iPhone 14 Pro ที่เป็นของส่วนตัวมาเปรียบเทียบซึ่งผลปรากฎออกมาว่าประสิทธิภาพของ ROG Phone 7 ทิ้งห่าง iPhone 14 Pro อยู่พอควร โดยฝั่ง iPhone 14 Pro ทำคะแนนไปได้ที 3248 คะแนน อัตราเฟรมเรตค่าเฉลี่ยอยู่ 11 ถึง 24fps ส่วน ROG Phone 7 ทำคะแนนระดับ Maxed Out และอัตราเฟรมเรตค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 43 ถึง 104fps
ด้านการใช้งานจริง ทางผู้รีวิวได้ทดสอบกับเกมที่ใช้กราฟิกค่อนข้างหนักอย่าง Genshin Impact และ Diablo Immotal ซึ่งผลลัพท์ออกมาอยุ่ในเกณท์ที่น่าพอใจในระดับหนึ่งครับ Genshin Impact สามารถเล่นได้ใน 60fps แบบลื่น ๆ ได้สบาย ๆ แม้แต่ในการตั้งค่าตัวเกมจะเตือนว่า Over ไปแล้วก็ตาม แต่กลับมามีข้อสังเกตในเกม Diablo Immotal ที่จะกระตุกนิด ๆ ในช่วงก่อนเจอมอนสเตอร์ หรือออกท่าที่มีเอฟเฟคเยอะ ๆ เป็นบางครั้ง
ในด้านการระบายความร้อนเมื่อเล่นเกมไปพักนึงตัวเครื่องจะเริ่มอุ่น ๆ ขึ้นมาแต่ไม่ถึงกับเป็นการร้อนลวกมือ หรือเครื่องเกิดการโอเวอร์ฮีทแต่อย่างใด แต่ถ้าติดตัวอุปกรณ์เสริมอย่าง AeroActive Cooler 7 คงจะช่วยเรื่องความร้อนได้มาก
และพอไม่มี AeroActive Cooler 7 มาให้ลองใช้ เราก็ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างครับ นั่นคือเราสามาถใช้ช่องต่อ AeroActive Cooler 7 เป็นที่เสียบชาร์จไประหว่างเล่นได้ ตรงนี้ตอบโจทย์การเล่นแบบแนวนอนในมือถือมาก ทำให้จับมือถือได้เต็มไม้เต็มมือขึ้นด้วย
อีกจุดที่ต้องพูดถึงคือลำโพง ตัว ROG Phone 7 ให้เสียงผ่านลำโพงออกมาค่อนข้างชัด และได้มิติที่ดีมาก ๆ ถ้าเล่นอยู่ในห้องตัวเองน่าจะได้อรรถรสจนไม่ต้องเสียบหูฟังได้เลย หรือเอาไว้เปิดเพลงในวงเพื่อนฝูงก็เสียงดังฟังชัด ไม่โดนกลบ
ข้อดี
ข้อสังเกต
โดยสรุปคือถ้าผู้ใช้งานมองหาโทรศัพท์ที่เน้นการเล่นเกมบนมือถือ ROG Phone 7 น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ตอบโจทย์ในด้านการเล่นเกมบนมือถือ เพราะประสบการณ์ดีกว่า ไม่ว่าจะจากความลื่นของจอ ประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รวมกัน รวมถึงเล่นต่อเนื่องได้นานกว่า ที่สมาร์ทโฟนไม่ว่าจะแอนดรอยด์หรือ iPhone ปกติอาจจะสู้ไม่ได้ ในราคาที่ไม่หนีจากกันมากที่ 34,990 บาท