เมื่อวานนี้หลังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงข่าวถึงโครงการ Digital Wallet ช่วงหนึ่งในการแถลงระบุถึงเกณฑ์การรับเงินใน Digital Wallet 10,000 บาท ว่าจะตัดสิทธิ์ผู้ที่มีรายได้เกิน 70,000 บาทต่อเดือน และมีเงินในบัญชีทุกบัญชีรวมกันมากกว่า 500,000 บาท โดยแสดงข้อมูลว่ามีผู้มีเงินเดือนเกิน 70,000 บาท อยู่ที่ 1.3 ล้านคน และผู้ที่มีเงินในบัญชีรวมทุกบัญชีเกิน 500,000 บาท อยู่ที่ 3.5 ล้านคน การตัดกลุ่มนี้ออกทำให้ใช้เงินเหลือ 500,000 ล้านบาท คำถามหนึ่งคือที่มาของข้อมูลชุดนี้จะมาจากไหน และรัฐบาลรู้ได้อย่างไรว่าแต่ละคนมีเงินฝากรวมมากน้อยเพียงใด
คุณจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยกับ ThairathTV ว่ารัฐบาลมีฐานข้อมูลชุดนี้อยู่ โดยไม่ระบุว่าเป็นหน่วยงานใดที่ได้รับข้อมูลชุดนี้ แต่ยืนยันว่าไม่ผิดกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลแน่นอน
หน่วยงานหนึ่งที่ได้รับข้อมูลเงินฝากคือกรมสรรพากร ที่บังคับให้ธนาคารส่งข้อมูลดอกเบี้ยของทุกบัญชีให้กับทางสรรพากรเพื่อคิดภาษีดอกเบี้ยตั้งแต่ปี 2019 หากทางกรมสรรพากรนำข้อมูลไปคิดย้อนก็จากอัตราดอกเบี้ยก็น่าจะมองเห็นเช่นกันว่าแต่ละคนมีเงินฝากเท่าใด
ที่ผ่านมาข้อมูลบัญชีเงินฝากของไทยนั้นมีการเปิดเผยเฉพาะข้อมูลรายบัญชีเท่านั้น ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลว่าคนในประเทศไทยแต่ละคนนั้นมีเงินรวมทุกบัญชีกระจายตัวอย่างไรบ้าง โดยข้อมูลล่าสุดบนเว็บของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นระบุว่ามีบัญชีที่มีเงินอยู่ในบัญชีเกินกว่า 500,000 บาท ประมาณ 3.584 ล้านบัญชี ใกล้เคียงกับตัวเลขที่นายกรัฐมนตรีระบุ และทางธนาคารแห่งประเทศไทยยืนยันกับ Blognone ว่าไม่มีข้อมูลชุดนี้ในหน่วยงาน
การจะรู้ว่าคนไทยมีมีเงินรวมกันทุกบัญชีเกินห้าแสนบาท ทุกบัญชีทุกธนาคารเป็นจำนวนเท่าใดนั้นจำเป็นต้องมีศูนย์ข้อมูลกลางและให้ทุกธนาคารส่งข้อมูลเงินในธนาคารแยกรายคนส่งให้ศูนย์ข้อมูลกลางไปรวมตามรายคน ไม่ว่าคนนั้นจะมีเงินในแต่ละธนาคารมากน้อยเพียงใด เพราะบางคนอาจจะมีเงินในบัญชีไม่ถึงห้าแสนบาทแต่รวมกันหลายๆ ธนาคารก็เกินห้าแสนบาทได้ ขณะที่คนบางคนอาจจะมีบัญชีที่เกินห้าแสนบาทหลายบัญชีพร้อมกัน