ไม่กล่าวถึงที่มาที่ไปนะครับ ผมขอข้ามไปเลย เอาเป็นว่าผมได้มีโอกาสเป็นเจ้าของหูฟังตัดเสียงรบกวน MDR-NC33 จากญี่ปุ่นคู่หนึ่งแล้วกัน
เนื่องด้วยหลายๆ คนอาจจะไม่กล้าเสี่ยงกับหูฟังประเภทนี้ เพราะไม่มั่นใจในประสิทธิภาพ และราคาที่ค่อนข้างสูงพอควร ผมก็จะเอาความคิดเห็นของตัวเองมาเพิ่มเติมให้แล้วกัน แต่บอกไว้ก่อนเลยนะว่า "ผมไม่ใช่พวกหูทองคำ" แยกแยะเสียงดีไม่ดีไม่ออกเท่าไหร่ครับ ประมาณว่าสักแต่ว่าฟังกันเลยทีเดียว
อัพเดต: สองปีผ่านไปหูฟังตัวนี้ได้จากผมไปอย่างสงบเกือบครึ่งทางแล้วครับ เสียงออกหูซ้ายปกติ ด้านขวาเร่งเสียงสุดแล้วจะได้ยินแผ่ว ๆ ส่วนระบบตัดเสียงรบกวนยังทำงานได้ดีทั้งสองข้าง เดาอาการไม่ค่อยออกแต่เสียดายมากครับ (T_T)
อัพเดตใหม่กว่า: ผ่านมาอีกหลายเดือน หูฟังตัวนี้กลับมาหาผมแล้วครับ น่าจะเกิดจากน้ำในถ่านเข้าวงจร สนิมขึ้นบางส่วนแต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่เสียครับ มันกัดลายวงจรขาดเลย ผมเลยเอาสายไฟเชื่อมให้กลับมาใช้ได้เรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่าส่งผลต่อเสียงมากน้อยแค่ไหน อาจจะด้วยดอกลำโพงที่ดีพิเศษของเค้าก็ได้ ผมเทียบกับหูฟังทั้งหมดในบ้านตอนนี้แล้วยังรู้สึกว่าเสียงมันดีที่สุดอยู่ซะอย่างนั้น
อัพเดต ๓ (๑๙ มกราคม ๒๕๕๘): ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในรีวิววัสดุแล้วกันนะครับ ผ่านมา ๕ ปีกว่านับจากวันที่ซื้อ ตอนนี้ผมก็ยังคงใช้หูฟังตัวนี้อยู่ แจ็คยังแน่นดี ปลอกไม่เปื่อย สายไม่ขาดใน จุกยางยังดีอยู่ เสียงก็ยังดีมากอยู่เช่นเคยครับ สายหูฟังขวาแข็งบ้างแต่ไม่มาก ส่วนสายที่เหลือไม่มีอาการแข็งครับ ดูจากแววแล้วสงสัยได้อยู่กันอีกนาน
จริงๆ ผมกลัวหูด้านขวาจะไปก่อนมากเลยนะ เพราะตรงช่วงที่แยกสายจากสายหลักมาเป็นสายของหูฟังข้างขวาอย่างเดียวนี่ตรงโคนมันพับเป็นรอยหักตลอดเวลาเลยครับ กลัวว่าสายมันจะหักใน ผมก็ใช้แบบไม่ได้ถนอมอะไร เอะอะโยนใส่เป้แบบไม่ใส่ซอง แถมมีการเกี่ยวสายกันจนแจ็คหลุดจากคอมพิวเตอร์, โทรศัพท์ (หรือบางทีโทรศัพท์ก็ร่วงมาทั้งเครื่องเลย) อยู่บ่อยๆ ด้วยซ้ำ แต่มันก็ยังรอดมาได้แบบไม่มีปัญหา
ตัวผมเองที่อยากได้หูฟังประเภทนี้ก็มีเหตุผลเล็กน้อยครับ เพราะตัวผมชอบฟังเพลงด้วยเสียงเบามากๆ แต่เวลาออกนอกบ้านเราไม่ค่อยมีโอกาสทำแบบนั้น เพราะเสียงรบกวนต่างๆ บางครั้งเบาบ้างดังบ้างทำให้ต้องปรับระดับเสียงกันอยู่เรื่อยๆ หรือไม่ก็ปรับให้ดังพอที่จะได้ยินตลอดเอาไว้เลย ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพ "หู" ของผู้ฟังแน่นอน ไม่ต้องรอหมอดูหน้าไหนมายืนยัน ฟันธง รึคอนเฟิร์ม ทำให้พอผมรู้จักหูฟังประเภทนี้ก็สนใจขึ้นมาทันที แต่ด้วยราคาที่สูงพอควรทำให้ไม่อาจเอื้อมเป็นเจ้าของมาได้ โดยรุ่น MDR-NC33 นี้ เท่าที่ผมทราบ ในไทยเองราคาจะอยู่ราวๆ สามพันห้าร้อยบาท T-T (ไปดูราคามายืนยันแล้ว ๓,๔๖๐ บาทครับ)
แต่แล้วโอกาสก็ลอยมาครับ ผมฝากซื้อจากญี่ปุ่นด้วยเงื่อนไขว่า "ถ้าถูกกว่ากันเยอะ" ก็เลยได้มาในราคา ¥6,780 หรือคิดเป็นเงินไทยด้วยอัตราแลกเปลี่ยน ๓๘ บาทต่อ ¥100 ก็จะอยู่ที่ ๒,๕๗๖ บาทเท่านั้น!
เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ข้ามมาถึงตอนที่ผมใช้ไปวันนึงแล้วละกัน ^^ ไปดูรูปกันก่อนดีกว่า
*หมายเหตุ - ภาพทุกภาพมีภาพใหญ่แถมให้ หากท่านต้องการรับชมภาพในรูปแบบสะใจใหญ่เต็มตา ท่านสามารถติดตามลิงค์ที่ภาพได้ตามอัธยาศัยเลยครับ (จะไม่ได้ขึ้นหน้าหนึ่งก็เพราะบรรทัดนี้แหละ)
เปิดด้วยรูปกล่อง ต้องอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่าตอนแรกมันเรียบร้อยกว่านี้ นี่ผมใช้ไปวันนึงแล้วพยายามเรียงมันกลับเข้าไปแต่ยังไงๆ มันก็ไม่ยอมเรียบร้อยเหมือนเดิมเลย T^T
เพิ่มเติมการแปลตัวคันจิจากคุณผักกระเฉด (pakkached ถ้าผมอ่านไม่ผิดนะ ^^) ขอขอบคุณด้วยครับ
ตามมาด้วยภาพสติกเกอร์อะไรสักอย่างที่ผมอ่านไม่ออกแปลไม่ได้เพราะผมอ่านคันจิออกไม่ถึงสิบตัว! เอาเป็นว่ามันมีคำว่า "NOISE CANCELING" อยู่ก็แล้วกันนะครับ
คุณ pakkached: เขียนว่า sou-on ga kininaru norimono deno idou ga kaiteki ni !
แปลตรงตัวได้ว่า "ทำให้การเดินทางโดยพาหนะที่มีเสียงรบกวนมีความสุขสบายขึ้น!"
ต่อด้วยส่วนควบคุม ซึ่งรวมถึงที่ใส่แบตเตอร์รีด้วย (เวลาใช้มันหนักนะครับ)
ภาพรวมๆ แบบใกล้ชิด ที่เห็นๆ ก็จะมีตัวหูฟัง ขนาดจุ๊บยางที่มีให้เปลี่ยน แล้วก็ส่วนควบคุม และป้ายบอกว่าตัดสัญญาณรบกวนภายนอกได้ ๙๐%
คำอธิบายคุณสมบัติข้างกล่องครับ
เท่าที่ผมอ่านออกก็ เรียงจากบนลงล่างนะครับ
อุปกรณ์ทั้งหมดที่มาในชุดครับ (หากซื้อที่ญี่ปุ่น)
จุ๊บยางที่ให้มาครับ
ตัวหูฟัง ด้านบนของด้านหลังหูฟังที่เห็นเป็นรูๆ นั่นคือไมโครโฟนสำหรับรับเสียงครับ
ส่วนตัวควบคุม (ใส่ถ่านเปิดสวิตช์ให้ทำงาน)
ถ่านและรางถ่าน
หัวต่อทั้งหมด
เรียงจากบนลงล่าง
ลักษณะเวลาเสียบหูจริงๆ บอกตรงๆ ว่าตอนแรกๆ ที่ผมเห็น Sony ทำหูฟังที่เอาดอกลำโพงมาวางตะแคงผมนึกภาพเวลาเสียบหูไม่ออกเลย แต่เอาเข้าจริงหูฟังตัวนี้ใส่สบายมากครับ ใส่นานๆ ก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไร
ดูภาพกันจนเบื่อรึยังครับ? รูปเยอะไปหน่อยคงไม่ว่ากัน หลังจากนี้คงไม่มีแล้วเพราะผมขี้เกียจหยิบกล้องแล้ว (แป่ว)
มาอธิบายการทำงานคร่าวๆ กันก่อน โดยหลักการก็คือให้ไมโครโฟนรับสัญญาณเสียงภายนอกเข้ามา แล้วนำไปสร้างคลื่นเสียงที่เป็นด้านตรงกันข้ามออกมาทางลำโพง เมื่อคลื่นเสียงที่เป็นด้านตรงกันข้ามกันเจอกันก็ บูม กลายเป็นโกโก้ครันช์ เอ้ย ไม่ใช่ครับ มันก็จะหักล้างกัน ทำให้สัญญาณเสียงจากภายนอกลดลง หรือหายไปเลย
เพิ่มเติม: Wikipedia: Noise-cancelling headphones
ปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้หูฟังตัวนี้ตัดเสียงรบกวนภายนอกได้ ๙๐% ผมว่าคงไม่ได้มาจากระบบตัดเสียงอย่างเดียว แต่ด้วยความที่เป็นหูฟังแบบ in ear ด้วยเสียมากกว่า
ส่วนควบคุมไม่มีอะไรมากครับ มีแค่สวิตช์เปิด - ปิดการทำงานของระบบตัดเสียงรบกวนแล้วก็ปุ่ม MONITOR เท่านั้นเอง โดยปุ่มนี้จะทำหน้าที่ตัดเสียงจากหูฟัง ปิดระบบตัดเสียงรบกวน เพื่อให้เราได้ยินเสียงรอบตัวได้อย่างชัดเจนครับ จะได้ไม่ต้องปิดเพลง ปิดหูฟัง ถอดหูฟังเพื่อฟังอะไรสักอย่าง
มาขึ้นส่วนของประสบการณ์จริงที่ผมใช้มา แม้จะวันเดียวก็เถอะครับ ผมเปิดๆ ปิดๆ ระบบเป็นระยะๆ เพื่อเปรียบเทียบเวลาเปิดกับปิดว่ามันดีจริงรึเปล่า
วันเดียวที่ผ่านมาผมลองเอาไปผ่านสถานการณ์อะไรมาบ้าง? เวลาเปิดให้ทำงานแล้วมันช่วยได้แค่ไหน?
โดยหัวข้อด้านบนที่กล่าวมา ผมยังสามารถเปิดเพลงเบาๆ แล้วฟังได้โดยที่ไม่ต้องเร่งเสียง Windows Media Player จาก Windows Mobile 6.5 บน O2 Atom Life เกิน ๔๐ (จาก ๑๐๐) เลยครับ จากที่ปกติสถานการณ์ด้านบนนี้ต้องใช้ตั้งแต่ ๕๕ จนถึง ๙๐ เลย (แต่ผมว่าหูฟังเก่าผมเบากว่ากันประมาณ ๕ - ๑๐ ระดับเสียงนะครับ)
การใช้ปุ่ม Monitor ก็สะดวกกว่าที่คิด ทำให้ไม่ต้องถอดหูฟังออกๆ เข้าๆ อีก แค่กดปุ่มนี้ พอเสร็จก็ปล่อย
มาถึงด้านของเสียง ด้านที่ผมไม่ถนัดเท่าไหร่ ผมว่าเหมือนเสียง Bass มันจะไม่หนักแน่น แต่ผมชอบนะ รู้สึกว่าน่าจะถนอมหูเราได้มากกว่า
ผมสรุปเอาเองว่าหูฟังตัวนี้น่าจะช่วยถนอมหูคนชอบฟังเพลงได้ ถ้าไม่เปิดเสียงดังบ้าคลั่ง เพราะส่วนตัวผมเองก็ไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องเปิดดังๆ อีกเนื่องจากเสียงภายนอกก็ไม่ได้ดังมากมายขนาดต้องเร่งเสียงกลบเลย
เหมือนเนื้อหาจะสั้นๆ ขาดๆ อย่างไรชอบกล ค่อนข้างรู้ตัวว่าจบแบบห้วนมากๆ ใครมีข้อเสนอแนะหรือติ - ชมก็ช่วยบอกด้วยนะครับ