เมื่อปี 2002 หนังเรื่อง Minority Report ได้จุดประกายการบังคับหน้าจอแบบใหม่ ที่ทำงานได้ด้วยการใช้นิ้วต่างๆ ชี้ไปยังหน้าจอเพื่อควบคุมการทำงานของระบบ ผมยังจำได้อยู่เลยว่า UI ของระบบนั้นน่าทึ่งมาก และหวังว่าซักวันเราคงจะได้ใช้ระบบที่แสนวิเศษนี้
ตอนนี้ ความฝันนั้นก็เข้าใกล้ความจริงขึ้นมาอีกระดับ เพราะเมาส์ Logitech MX Air มาพร้อมกับเทคโนโลยี Freespace ที่จะทำให้เราสามารถควบคุมเมาส์ในอากาศได้อย่างใฝ่ฝัน และวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ MX Air เมาส์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต ที่อาจพลิกโฉมหน้าการสั่งการคอมพิวเตอร์ได้อย่างสิ้นเชิงครับ
ด้านหน้าของกล่อง เรียบๆ มีรูปเมาส์ลอยเด่นเป็นสง่าครับ
เมื่อเปิดกล่องออกมา จะพบหน้าปกอีกชั้นหนึ่งครอบเอาไว้ และพอเปิดหน้าปกนั้นก็จะพบพระเอกของเรานอนรออยู่ ข้างๆ เป็นตัวรับสัญญาณที่ความถี่ 2.4GHz สังเกตว่าใต้ฝาด้านในที่ยกออกมานั้น มีกล่องเก็บคู่มือซ่อนอยู่ด้วยครับ
ตรงนี้ต้องชม Logitech ที่ออกแบบกล่องโดยใส่แม่เหล็กไว้ที่ขอบกล่องด้วย ซึ่งก็เพียงพอต่อการป้องสิ่งกันสิ่งของข้างในร่วงหล่นลงมา เมื่อทำการเคลื่อนย้ายบรรจุภัณฑ์ตามปรกติ
สำหรับชั้นล่างของกล่องจะเป็นส่วนของฐานชาร์จแบตเตอรี่และอะแดปเตอร์ครับ
ถ่ายรูปรวมครับ นอกจากอุปกรณ์ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีคู่มือการใช้งานเมาส์แบบแผ่นพับ 1 เล่ม ข้อตกลงการใช้งาน USB 1 แผ่น แผ่น CD โปรแกรมและไดร์วเวอร์ 1 แผ่น และผ้าเช็ดเมาส์สีดำพิมพ์คำว่า MX Air 1 ผืน ส่วนกล่องที่อยู่ริมขวาล่างนั่นคือ กล่องเก็บคู่มือที่ซ่อนอยู่ใต้ฝาปิดชั้นในครับ
จับถ่ายรูปคู่กับฐานชาร์จแบตเตอร์รีซักหน่อยครับ ตรงนี้ต้องชมทีมออกแบบที่ทำการพิมพ์โลโก้สีดำด้านบนตัวเมาส์ ซึ่งจะเห็นโลโก้นี้ก็ต่อเมื่อสะท้อนแสงเท่านั้น ทำให้เมื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์สองชิ้นนี้เข้าด้วยกันแล้ว ยังคงเห็นโลโก้ Logitech เพียงที่เดียว ซึ่งดูดีกว่าการเห็นโลโก้ผลิตภัณฑ์พร่ำเพรื่อครับ
ถ่ายรูปหมู่กับญาติพี่น้องซักหน่อย จากซ้ายสุดคือ "น้องเล็ก" V120 laser cord wrap ถัดมาคือ "คุณปู่" optical mouse PS/2 ต่อมาเป็น "พี่เขย" ในชุด wireless desktop MK250 และสุดท้ายก็ "พระเอก" MX Air ครับ สังเกตว่า MX Air นั้นยาวที่สุด แต่ความสูงนั้นสูงพอๆ กับน้องเล็กเลยครับ
มาดูที่ตัวเมาส์กันบ้างครับ วัสดุที่ใช้ทำเมาส์เป็น glossy plastic ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์ดูดีมีระดับ แต่นั่นก็แลกมากับการเป็นรอยนิ้วมือและรอยขนแมวได้ง่ายมาก สำหรับแถบสกรอลล์นั้น ไม่พบว่าใช้วัสดุที่แตกต่างออกไปจากพลาสติกบนตัวเมาส์แต่อย่างใด จึงคาดเดาว่าใช้เทคโนโลยีวัดแรงกดเพื่อระบุตำแหน่งที่นิ้วสัมผัส แน่นอนครับว่าทำ Multi-Touch ไม่ได้
ส่วนบริเวณใต้ท้องเมาส์ไล่ไปจนถึงบั้นท้ายทำจากอลูมิเนียมชิ้นเดียวครับ ขับให้ MX Air ดูหรูหราขึ้นไปอีก
สำหรับปุ่มเมาส์นั้น นอกจากปุ่มสำหรับคลิกซ้าย-ขวาแล้ว ก็มีแถบสกรอลล์แบบสัมผัสที่สามารถกดบริเวณขอบปุ่มเพื่อเลื่อนทีละสเต็ปได้ (ด้านบนสุดนั้นไม่ใช่ปุ่มครับ) ต่อมาเป็นปุ่ม Back ปุ่ม Sel ปุ่มเล่น/หยุด และปุ่ม Vol ตามลำดับ ส่วนด้านล่างจะเป็นโลโก้ Logitech แบบดำด้าน ไล่ไปจนถึงขอบอลูมิเนียมที่ปั้มตัวอักษรบ่งบอกถึงเทคโนโลยี Freespace
เมื่อจับเจ้า MX Air หงายท้อง จะพบกับโลโก้ Logitech อันเล็กๆ อีกครั้ง ไล่ลงมาเป็นปุ่มเปิด-ปิดเมาส์ และรูสำหรับลำแสงเลเซอร์ที่ความยาวคลื่น 848nm ซึ่งเป็นช่วงที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นและไม่เป็นอันตรายต่อสายตา โดยเมาส์ตัวนี้สามารถทำความละเอียดได้สูงสุดที่ 800 DPI ถัดลงมาเป็นหมายเลขผลิตภัณฑ์และข้อมูลต่างๆ ของเมาส์ โดยระบุว่าใช้แบตเตอรี่แบบ Li-Ion ขนาด 1000mA ส่วนล่างสุดเป็นผิวหน้าทองเหลืองสัมผัสสำหรับต่อเข้ากับฐานชาร์จแบตเตอรี่ครับ
เมื่อเปิดเมาส์ขึ้นมา ไฟแสดงสถานะทุกดวงจะติดขึ้น โดยไฟแสดงระดับแบตเตอรี่จะดับลงใน 5 วินาที ส่วนแถบแนวนอนที่แสดงตรงปุ่มคลิ๊กเมาส์ซ้าย-ขวานั้น เป็นตัวบ่งบอกว่าเรากำลังใช้งานเมาส์เป็นรีโมทบนอากาศ ถ้าเราใช้เมาส์แบบธรรมดาบนพื้นโต๊ะ แถบแนวนอนยาวนี้จะจางหายไปครับ
ตรงนี้ขอชมทีมออกแบบที่เลือกใช้สีส้มทั้งหมด เพราะเป็นสีที่สบายตาแม้จะมองในที่มืด ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของหลายๆ คนที่จะนำเมาส์ตัวนี้ไปใช้ในห้องดูหนังครับ
เพียงแค่เสียบตัวรับสัญญาณเข้ากับคอมพิวเตอร์ (Windows XP, Vista, 7, Mac OS X 10.3.9+) ก็สามารถใช้งานเมาส์ได้ทันที ไม่ต้องโหลดไดร์เวอร์เพิ่มจากอินเตอร์เน็ต แต่ในตัวรับสัญญาณนั้นไม่มีหน่วยความจำอยู่ ทำไห้ไม่สามารถบันทึกการตั้งค่าปุ่มเมาส์เพื่อนำไปใช้งานข้ามเครื่องได้ ต้องทำผ่านโปรแกรม SetPoint ของทาง Logitech เท่านั้น
หน้าแรกเป็นการตั้งค่าปุ่มต่างๆ ถ้าไม่พอใจค่าเดิม ซึ่งก็สามารถเปลี่ยนค่าได้หลากหลายมาก เช่น เปลี่ยนเป็นปุ่มเมาส์กลางที่ไม่มีมาให้แต่ต้น การทำ Document Flip เพื่อเปลี่ยนหน้าต่างโปรแกรม ไปจนถึงการกำหนด keystroke เพื่อความรวดเร็วในการทำงานอย่าง Ctrl+S หรือ Alt+Shift+Tab (จากการใช้งาน พบว่าไม่สามารถกำหนดปุ่ม Windows+key ได้ครับ) นอกจากนี้ ยังสามารถใช้การเขย่าเมาส์เพื่อกำหนดการทำงานได้อีกด้วย
สำหรับหน้าอื่นที่เหลือนั้น เป็นการตั้งค่าต่างๆ ตามแบบฉบับเมาส์ทั่วไป เช่น ความไวของเมาส์ ซึ่งแยกการตั้งค่าเป็นแบบเมาส์และแบบรีโมท ตั้งค่าความเร็วและเปิด-ปิดความเฉื่อยของการสกรอลล์ ไปจนถึงตั้งค่าปุ่มเมาส์เป็นพิเศษสำหรับโปรแกรมหรือเกมโดยเฉพาะครับ
นอกจากนี้ ในโปรแกรมยังบอกถึงระดับแบตเตอรี่คงเหลือด้วย ซึ่งสามารถเลือกให้แสดงได้ทั้งแบบเปอร์เซ็นต์และจำนวนวันใช้งานคงเหลือ โดยอัตราการบริโภคพลังงานของเมาส์ตัวนี้อยู่ที่ 5 เปอร์เซ็นต์ต่อชั่วโมง (วัดโดยใช้เมาส์เล่นเกมซึ่งมีการเคลื่อนที่เมาส์ตลอดเวลา) และการเลือกให้แสดงแบบวันใช้งานคงเหลือนั้น โปรแกรมจะทำการเก็บสถิติการใช้งานเมาส์ในแต่ละวันของเรามาคำนวณวันคงเหลือให้ครับ
แต่การติดตั้งโปรแกรมนี้ก็ไม่ได้ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีเท่าไหร่ อย่างเช่นตอนที่ลงแต่ไดร์เวอร์ เพียงแค่กดปุ่ม Vol ครั้งเดียวก็ปิดเสียงได้แล้ว แต่พอลงโปรแกรมนั้น ต้องกดปุ่ม Vol ถึงสองครั้งเพื่อปิดเสียง (ครั้งแรกเพื่อเรียกแถบควบคุมเสียง อีกครั้งเพื่อปิดเสียง) แต่ถ้าลบโปรแกรม SetPoint ออกก็จะไม่สามารถตั้งค่าปุ่มเมาส์ตามใจได้อีก
เนื่องจากผมไม่มี Unifying receiver จึงไม่ได้ทดลองเปลี่ยนการใช้ตัวรับสัญญาณเมาส์ครับ
ด้านการทำหน้าที่เป็นเมาส์
ด้านการจับใช้งาน
ทำความเข้าใจกับวิธีใช้งานบนอากาศกันก่อน
ด้านการทำหน้าที่เป็นรีโมท
ด้านการถือใช้งาน
ส่วนตัวแล้ว ผิดหวังกับการใช้งานในอากาศขั้นรุนแรง (แต่ไม่ได้หมายความว่าเมาส์ไม่ดีนะครับ) เพราะผมจินตนาการเอาไว้ว่า ตอนจะใช้งานบนอากาศนั้น ต้องทำการ calibrate เมาส์กับมุมจอภาพ (เหมือนกับที่เรา calibrate มือถือจอสัมผัส) พอถึงเวลาใช้ค่อยชี้เมาส์ไปที่ตำแหน่งต่างๆ อย่างในหนังเรื่อง Minority Report ครับ
แต่เมื่อได้ใช้งานจริงๆ สิ่งที่ผมผิดหวังนี้ กลับกลายเป็นข้อดีไป เพราะมันทำให้เราสามารถใช้เมาส์ ณ จุดไหนก็ได้ ไม่ต้องเมื่อยมือชี้เมาส์ไปที่หน้าจอตลอด แถมเวลาย้ายเครื่องก็ไม่ต้อง calibrate ใหม่ให้เสียเวลา
ส่วนเรื่องราคา ในเว็บของ Logitech เองตั้งไว้ที่ $149.99 ตั้งแต่วันเปิดตัวเมื่อสามปีที่แล้ว ซึ่งจากการสืบค้นข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยน ราคาตอนนั้นจะอยู่ที่ 4,500-5,000 บาท (ปัจจุบันคิดเป็นเงินไทยได้ประมาณ 4,850 บาท) ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมพอนำเข้าแล้ว ราคาถึงได้อัพไปที่ 6,000 บาทเลยทีเดียว ทำให้ MX Air กลายเป็นสินค้าเฉพาะกลุ่มไปซะได้ สำหรับตัวที่ผมได้มานี้ เป็นตัวโชว์หน้าร้านตัวสุดท้ายที่ลดราคาล้างสต๊อกเหลือ 4,180 บาทครับ
ถ้าอยากได้เมาส์ใหม่มาใช้งาน ผมว่า เมาส์ที่ออกแบบถูกต้องตามหลักสรีระศาสตร์จะให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีกว่าครับ
ส่วนถ้าอยากได้รีโมทมาใช้งานอย่างเดียว ผมแนะนำให้หารีโมทอัน 199 จากอมรมาใช้จะตรงความต้องการกว่า (ถ้ารับรูปร่างหน้าตาไม่ได้ ลองหาการ์ดทีวีแบรนด์ดังที่มีรีโมทแถมในกล่องดูครับ)
แต่ถ้าอยากสัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการใช้เมาส์ หรือต้องการเมาส์เพื่อการนำเสนอผลงาน ไปจนถึงการมีเมาส์สวยๆ ไว้ประดับห้องนั่งเล่น Logitech MX Air ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยครับ
ปล.รีวิวนี้เป็นรีวิวแรก ขาดตกบกพร่องประการใดก็ขอคำแนะนำด้วยครับ