ณ เวลานี้ มือถือที่กำลังมาแรงและถูกพูดถึงมากที่สุดในไทย คงเป็นรุ่นไหนไปไม่ได้นอกจาก iPhone 4 นะครับ
ผมเชื่อว่าผู้อ่านส่วนใหญ่คงรู้จัก iPhone กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ดังนั้นผมจะรีวิวโดยเน้นฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นมาใน iPhone 4 และ iOS 4 เมื่อเทียบกับ iPhone รุ่นก่อนๆ นะครับ
รูปร่างภายนอกของ iPhone 4 นั้น จะต่างกับ iPhone รุ่นก่อนๆ อย่างมาก โดยเปลี่ยนการออกแบบภายนอกเป็นทรงสี่เหลี่ยม (จับวางตั้งได้ไม่ล้ม!) แต่ยังคงรักษาแนวทางการวางปุ่มไว้แบบเดิม
ด้านหน้าและหลังเป็นแผ่นแก้วแบบเดียวกับที่ใช้ทำกระจกเฮลิคอปเตอร์ซึ่งทนทานกว่าพลาสติกทั่วไป รอบเครื่องด้านข้างทำจากอัลลอยพิเศษที่แข็งแรงกว่าปกติ และยังทำหน้าที่เป็นเสาอากาศด้วย โดยส่วนตัวผมชอบดีไซน์แบบนี้มากกว่ารุ่นก่อนๆ นะครับ
มีปุ่ม Home เพียงปุ่มเดียวเหมือนเดิม ช่องข้างลำโพงที่เห็นในภาพคือกล้องหน้า เอาไว้สำหรับเล่น Facetime หรือถ่ายรูปตัวเอง
ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง และสวิตช์เปิดระบบสั่น ยังคงอยู่ตำแหน่งเดิม
ด้านล่างมีไมโครโฟน, ลำโพง และช่องเสียบสาย USB เหมือนรุ่นก่อนๆ
ด้านบนก็มีปุ่ม Power และช่องเสียบหูฟัง 3.5 ม.ม. เหมือนเดิม ส่วนรูเล็กๆ ข้างช่องเสียบหูฟังนั่นคือไมโครโฟนตัวที่ 2 สำหรับคุย Facetime รวมถึงใช้ในการตัดเสียงรบกวนเวลาโทรศัพท์ปกติด้วยครับ
ช่องสำหรับใส่ซิมย้ายมาอยู่ด้านขวาแทน โดยเปลี่ยนจากซิมแบบเดิมเป็นไมโครซิมซึ่งมีขนาดเล็กกว่า
ลองแกะถาดไมโครซิมออกมา (มีแสงด้วยแฮะ!)
กล้องยังอยู่ที่เดิม แต่มี LED Flash เพิ่มขึ้นมาข้างๆ
แอปเปิลตั้งชื่อจอ iPhone 4 ว่า Retina Display โดยชื่อนี้ได้มาเพราะจอดังกล่าวมีความละเอียดสูงมากจนเซลล์รับภาพในตามนุษย์ (Retina) ไม่สามารถแยกความแตกต่างของจุด pixel แต่ละจุดได้
สำหรับจอ iPhone 4 นั้นผลิตโดยบริษัท LG มีความละเอียด 640x960 pixel ที่ขนาด 3.5 นิ้ว จอนี้เป็นจอ TFT-LCD แบบ IPS ซึ่งสามารถมองจากมุมเกือบ 180 องศาได้โดยสีไม่เพี้ยนเลย
ความละเอียดจอ iPhone Classic
ความละเอียดจอ Retina ของ iPhone 4
เปรียบเทียบมุมมองระหว่างจอ TFT บน iPhone Classic (ซ้าย) และจอ IPS บน iPhone 4 (ขวา) จะสังเกตได้ว่าจอ iPhone Classic นั้นพอมุมมองเปลี่ยน สีก็จะเพี้ยนตามไปด้วย
เมื่อปรับความสว่างสูงสุด iPhone 4 (ซ้าย) จะสว่างกว่า iPhone Classic (ขวา) พอสมควร
iPhone Classic ยิ่งเอียง สีก็ยิ่งเพี้ยนมาก
ลองเทียบกับ Galaxy S สักหน่อย
iPhone 4 ใส่ไมโครโฟนมา 2 ตัว เพื่อใช้ในการตัดเสียงรบกวน โดยตัวแรกอยู่ด้านล่างเหมือนรุ่นก่อน ส่วนอีกตัวเป็นรูเล็กๆ อยู่ถัดจากช่องเสียบหูฟังด้านบนครับ
หลักการตัดเสียงรบกวนไม่มีอะไรมาก เพียงแค่เอาเสียงที่ได้จากไมค์ล่างมาหักลบจากเสียงจากไมค์อันบนออก ก็จะเหลือแต่เสียงพูดเนื่องจากปากของผู้พูดจะอยู่ใกล้กับไมค์ตัวแรกมากกว่าครับ
iPhone 4 มีจุดเด่นอีกอย่างตรงที่รองรับคลื่นความถี่ 3G 800/850/900/1900/2100 MHz ซึ่งครอบคลุมคลื่นครบทุกความถี่หลักๆ ในโลก ทำให้สามารถนำไปใช้กับ 3G ได้ในทุกประเทศ รวมถึงคลื่นทดลองของ AIS , dtac และ TrueMove ด้วย ส่วนคลื่นความถี่ 2G นั้น iPhone 4 รองรับครบทุกคลื่น 850/900/1800/1900 MHz เหมือนมือถือทั่วไปครับ ไม่มีอะไรแปลก
สำหรับ Wi-Fi นั้น iPhone 4 เพิ่มความสามารถในการต่อกับ 802.11n ที่ความถี่ 2.4 GHz เข้ามาด้วยครับ
กล้องหลังของ iPhone 4 มีความละเอียด 5.0 MP, Auto-focus แบบแตะ, LED Flash และ ถ่ายวิดีโอ 720p ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรสำหรับกล้องมือถือครับ
ส่วนกล้องหน้านั้น มีความละเอียด 0.3 MP ไม่ค่อยชัดเท่าไรนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับการเล่น Facetime ครับ
ภาพจากกล้องดูได้ท้ายข่าวนะครับ
โทรศัพท์สมัยใหม่เกือบทุกรุ่นจะใส่ Accelerometer มาด้วย ซึ่งสามารถวัดแค่ความเร่ง ทำให้รู้ได้เพียงว่ากำลังถือโทรศัพท์ทำมุมไหนกับพื้นโลก ซึ่ง Gyroscope นั้นต่างจาก Accelerometer ตรงที่สามารถวัดการหมุนหรือความเร็วเชิงมุมได้ ลองดูภาพจากเซ็นเซอร์น่าจะเข้าใจได้มากกว่า
ภาพข้างบนเป็นการวาง iPhone 4 ไว้บนเก้าอี้ แล้วทำการหมุนเก้าอี้ไปเรื่อยๆ จากภาพจะสังเกตได้ว่า Accelerometer (กราฟบน) จะทราบแค่ว่าเรากำลังวางมือถือในแนวราบไปกับพื้น โดย แกน Z (สีน้ำเงิน) มีแรงกระทำประมาณ 1g (ค่าความเร่งของโลก) แต่ไม่สามารถวัดได้เลยว่าเรากำลังหมุนเก้าอี้อยู่ ต่างกับ Gyroscope (กราฟล่าง) ที่สามารถอ่านความเร็วในการหมุนได้ออกมาเป็นกราฟสีน้ำเงิน ถ้าสังเกตดูจะพบว่าช่วงท้ายกราฟตกลงมา นั่นเป็นเพราะผมต้องหยุดเก้าอี้เพื่อกด capture หน้าจอ
สรุปแล้ว Gyroscope ช่วยเพิ่มความสามารถในการวัดการเคลื่อนไหวของ iPhone ให้สามารถวัดได้แม่นยำยิ่งขึ้นนั่นเองครับ
iPhone 4 ที่ขายในไทยทุกตัวมาพร้อมกับ iOS 4.1 ซึ่งนับว่าเป็น OS ที่มีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น
เรามาดูรูปประกอบกันดีกว่า ภาพหน้าจอหลังจากนี้ทั้งหมดจะถูก resize เหลือ 320x480 pixel จากขนาดจริง 640x960 pixel เนื่องจากผมไม่ต้องการให้บทความนี้ยาวเกินไปครับ
หน้าตา Springboard ของ 4.1 (ภาพใหญ่)
รุ่นซอฟต์แวร์ที่มากับเครื่องของ dtac
ฟีเจอร์ที่ทุกคนรอคอยมานานครับ สำหรับ iPhone รุ่นเก่าๆ โปรแกรมที่มีสิทธิรันอยู่เบื้องหลังจะมีแค่โปรแกรมของ Apple เองเท่านั้น แต่ใน iOS 4 นั้นแอปเปิลได้เปิดให้ผู้พัฒนาสามารถแก้แอพพลิเคชั่นของตัวเองให้รันอยู่เบื้องหลังได้ ลองอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ รีวิว : Multitasking บน iPhone 4.0 ครับ
รายการแอพพลิเคชั่นที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง สามารถเข้าถึงโดยการกดปุ่ม Home สองครั้ง ถ้าต้องการสลับไปโปรแกรมไหนก็สามารถเลือกจากหน้านี้ได้ทันทีเลยครับ
แตะไอคอนค้างไว้ เพื่อปิดโปรแกรม
ถ้าเลื่อน Task List มาทางซ้ายมือ จะพบกับเมนูสำหรับควบคุม iPod และปุ่มล๊อกหน้าจอไม่ให้หมุนตามเวลาเราเอียงเครื่องครับ
เมนูสำหรับปิด Data connection สามารถเข้าได้จาก Settings > General > Network ครับ
โฟลเดอร์ใน Springboard
อนุญาตให้แอพพลิเคชั่นทำ Push Notification ได้
อนุญาตให้แอพพลิเคชั่นแต่ละตัวขอตำแหน่งได้ ตรงนี้เข้าใจว่าเหมือนรุ่นก่อนๆ
iPod หน้าตาเหมือนเดิม
App Store ก็เหมือนเดิม
คีย์บอร์ดไทยแบบ 3 แถว ซึ่งพิมพ์ยากเหมือนเดิม
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่แปลกใหม่และเอาไว้โชว์คนอื่นได้ โดยเฉพาะสำหรับประเทศที่ไม่มี 3G ใช้ ทำให้ไม่สามารถทำ Video-call ได้ Facetime ไม่ต่างอะไรกับ Video-call นัก ต่างกันแค่มันทำงานบน Wi-Fi แทนการใช้ 3G ทำ Video-call ตามปกติ
การใช้งาน Facetime ถือว่าสะดวกมากครับ แค่โทรศัพท์ตามปกติ จากนั้นกดปุ่ม Facetime แล้วรอไม่กี่วินาทีภาพก็จะปรากฏ
ลองเล่น Facetime กับ @ibluecosmos ขอขอบคุณนายแบบทั้ง 2 คนนะครับ
ภาพจากกล้อง iPhone 4
เปลี่ยนมาลองกล้องหน้ากันบ้าง
สุดท้ายนี้ ขอบคุณ dtac สำหรับเครื่องที่ใช้ในการทดสอบนี้ครับ
ข้อดี
ข้อเสีย