แม้ว่า Apple จะออก iPad มาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่เนื่องจากว่ายังไม่มีการจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ดังนั้นเครื่องจำนวนมากจึงเป็นเครื่องนำมาจากต่างประเทศ และผมเชื่อว่าหลายท่านในที่นี้มีครอบครองแล้ว รีวิวนี้จึงอาจล่าช้าไปสักนิดเพราะมีผู้ทำรีวิวออกมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว โดยจะเป็นโดยภาพรวม ซึ่งมีประสบการณ์จากการใช้จริงด้วย (โปรดดูรีวิวของ @sugree ประกอบ)
เนื่องจากผมต้องการอุปกรณ์ที่ใช้อ่านข่าว เข้าเว็บ และรับส่งอีเมลอย่างเร็วๆ เพราะแล็ปท็อปที่มีค่อนข้างจะช้าเอาเรื่องอยู่ ประกอบกับเป็นนักท่องเที่ยวและสามารถขอคืนภาษีได้ จึงตัดสินใจซื้อ
ผมซื้อรุ่นที่ถูกที่สุด คือ 16 GB Wi-Fi โดยราคาที่ออสเตรเลียอยู่ที่ 629 AUD รวมภาษี (GST) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว (ราคาล่าสุดวันที่ 21 ตุลาคม 2553) ทั้งนี้สำหรับนักท่องเที่ยว สามารถขอคืนภาษีดังกล่าวได้ที่สนามบิน (รายละเอียดโปรดพิจรณาที่นี่) สำหรับภาษีที่ได้คืนอยู่ที่ 57.18 AUD
สำหรับส่วนตัวเองก็ซื้อเคสของทาง Apple ซึ่งราคาตกที่ 48 AUD ไปพร้อมกันทีเดียว
เนื่องจากผมซื้อที่ Apple Retail Store ที่เมืองซิดนีย์ ออสเตรเลีย การรับประกันจึงนับตั้งแต่วันที่ซื้อทันที แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ควรเก็บใบเสร็จไว้
สิ่งที่ต้องคำนึงคือ ประเทศไทยยังไม่มีการจำหน่าย iPad อย่างเป็นทางการ อาจจะเป็นอุปสรรคสำหรับการซ่อมอยู่พอสมควร ดังนั้นสำหรับท่านที่ซื้อและต้องการประกันจากทาง Apple ในไทย อาจต้องพิจารณากันสักหน่อย
ส่วนตัวผมเห็นค้านกับรีวิวของ @sugreeในประเด็นเรื่องของกล่อง เพราะถึงแม้ว่าขนาดจะค่อนข้างเล็กก็จริง แต่ก็ทำให้เหนื่อยอยู่ไม่ใช่น้อยตอนที่จะใส่กระเป๋าขึ้นเครื่องบินกว่าจะลงตัว นอกนั้นผมเห็นด้วย
เนื่องจากว่าพอผมได้มาผมก็ใช้ทันที ดังนั้น iPad และ เคสจึงอยู่ด้วยกันเรียบร้อย ใช้ความพยายามอยู่นานในการที่จะดึง iPad ออกมาจากเคส เพื่อที่จะถ่ายรูป แต่ก็พบว่าขนาดมันออกแบบมาได้พอดีมาก ทำให้แน่นมากและไม่สามารถดึงออกมาได้ง่ายๆ ทำได้แต่ถ่ายภาพพร้อมกับอยู่กับเคสเท่านั้น
สำหรับภาพด้านล่างนี้คือตอนเปิดเครื่องเรียบร้อยแล้วครับ
สำหรับซอฟต์แวร์ที่มาพร้อมกับ iPad นั้นของผมเป็น iOS รุ่น 3.2.2 ต้องยอมรับว่าหลังจากผ่านกระบวนการเปิดใช้งานใน iTunes เรียบร้อย พอได้ใช้งานจริงแล้วพบว่าตอบสนองได้เร็วมาก
ภาพอื่นๆ ที่บันทึกมาจาก iPad ดูได้ที่นี่
ค่อนข้างหนักเมื่อเทียบกับหนังสือทั่วไป เดินไปถือมือเดียวไปไม่สามารถทำได้ในสถานการณ์จริง เพราะจะเมื่อยข้อมือมาก
ยังมีปัญหาเรื่องของการรับสัญญาณ Wi-Fi ที่แรงบ้าง อ่อนบ้าง ทั้งที่ในตำแหน่งเดียวกันแล็ปท็อปส่วนตัวสามารถรับสัญญาณได้ดีมาก
เนื่องจากใส่เคสมาตราฐานของ Apple ทำให้เวลาใช้ ซึ่งต้องเปิดฝาพับของเคสออกมา และส่วนที่เป็นฝาพับนั้นค่อนข้างสร้างความรำคาญได้พอสมควรเลยทีเดียว
สำหรับคนที่คิดจะเอามาอ่านหนังสือที่เป็นไฟล์ต่างๆ ผมไม่แนะนำ เพราะจากการทดลองอ่านบนเครื่องบินในสภาพที่มืดสนิทไปได้สักพัก จะเริ่มรู้สึกปวดตาเพราะแสงที่ออกมาจากหน้าจอ
น่าสนใจว่าใน App Store นั้นมีเฉพาะสำหรับประเทศไทย ที่สำคัญคือมีส่วนของ iPad ด้วย และก็มีโปรแกรมของคนไทยบางตัวไปปรากฏในนั้นแล้ว เช่น Creative Thailand (ผมคาดว่าเป็นของ TCDC) นี่อาจหมายถึงว่ามีความเป็นไปได้ที่ iPad อาจจะนำมาจำหน่ายในประเทศไทยเร็วๆ นี้ นอกจากนั้นผมยังเห็นของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (VisitThailand) ไปรษณีย์ไทย (ThailandPost) เป็นต้น
อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่สุดก็เห็นจะเป็นปัญหาเดิมที่ต้องสมัคร Apple ID และต้องมีบัตรเครดิตหรือ iTunes Gift Card เพราะแม้กระทั่งจะโหลดโปรแกรมฟรีก็ต้องใช้บัตรเครดิตด้วย ดังนั้นนี่คือสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดสำหรับคนที่อยากซื้อและไม่ทำ Jailbreak (เช่นผมเป็นต้น)
สำหรับ iPad นั้นสามารถรองรับภาษาไทยได้ สามารถเปิดอ่านเว็บภาษาไทยได้อย่างสบาย และแสดงผลวันที่ รวมไปถึงปฏิทินและเวลาเป็นภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง
แต่สำหรับการพิมพ์ภาษาไทยโดยตรงยังไม่สามารถทำได้ และต้องอาศัยโปรแกรมอย่าง ThaiType เพื่อทำการ Cut หรือ Copy แล้วสั่ง Paste ซึ่งคาดว่าเมื่อ iOS 4.2 สำหรับ iPad ออกมาแล้วจะทำให้สามารถพิมพ์ได้โดยตรง
สำหรับคนที่มองหาอุปกรณ์เพื่อเปิดเว็บ เช็คอีเมล และทำงานแบบรวดเร็ว โดยไม่สามารถทนรอการเปิดเครื่องของแล็ปท็อปได้ iPad ถือเป็นทางเลือกที่ดีอันหนึ่ง อย่างไรก็ตามด้วยน้ำหนักที่มีพอสมควร ทำให้การถือมือเดียวจะทำให้เมื่อยมาก ที่สำคัญต้องมี iTunes ไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะถือเป็นหัวใจของการทำงานของ iPad ในการจะใส่เนื้อหาต่างๆ จากเครื่องคอมพิวเตอร์ลงไป
ด้านโปรแกรมต่างๆใน App Store ในเวลานี้ถือว่าค่อนข้างมากแล้วพอสมควรสำหรับโปรแกรมแจกฟรีทั้งหลาย ในกรณีของผมนั้นแค่โหลดโปรแกรมฟรีมาก็แทบจะใช้ไม่หมดแล้ว ดังนั้นหากใครที่คิดว่าได้เครื่องมาแล้วจะทำงานอะไรไม่ได้มากไปกว่าเข้าเว็บ คงต้องพิจารณากันใหม่ เพราะของฟรีที่ดีก็มีเยอะมากพอสมควรใน App Store
แต่สำหรับคนที่คิดว่าจะซื้อมาอ่านหนังสือ ผมคิดว่า iPad ไม่เหมาะสำหรับการนี้เมื่อเทียบกับ Amazon Kindle แบบที่หลายท่านได้รีวิวกันไปก่อนหน้านี้ (ของคุณ pittaya, ของคุณ zybernav, ของคุณ g-man) เพราะนอกจากหนักแล้ว เวลาอ่านในที่แสงน้อยจะปวดตา ขณะที่ถ้าอ่านในที่สว่างจะมีแสงสะท้อนทำให้อ่านไม่สะดวก
ถ้ามีโอกาส ผมจะลองเอา Kindle 6 นิ้วและ iPad มารีวิวคู่กันครับ