เหมือนจะกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างซอฟแวร์ที่ฝั่ง โอเพนซอร์ส (ต่อไปจะเรียก OSS) กับฝั่ง Proprietary Software (ต่อไปจะเรียก PS) ก็จะมีการถกเถียง แลกเปลี่ยนประเด็นและความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งส่วนมากก็มักจะเป็นประเด็นเดิม ๆ หัวข้อเดิม ๆ ที่ผมอ่านมาตั้งแต่เริ่มสนใจพัฒนาซอฟแวร์ใหม่ ๆ (ราว ๆ ปี 2002 เห็นจะได้)
จากการลงข่าว WikiLeaks: ไมโครซอฟท์และ BSA กังวลต่อแนวทางโอเพนซอร์สของไทย ใน blognone และก็เหมือนทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา ก็จะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งพอจะสรุปเป็นความคิดเห็นมีอยู่ 2 ประเด็นหลัก ๆ ดังนี้
หมายเหตุ บทความนี้ดัดแปลงจากบทความ Business Model for Open Source Software เผยแพร่ที่ XimpleSoft
สำหรับข้อมูลในส่วนของผู้ใช้ ที่น่าสนใจมากอีกแหล่งคือ Romance of the Three (Software) Kingdoms เป็นการนำเสนอภาพรวมของคนใช้ซอฟต์แวร์ 3 กลุ่มคือ OSS, PS และ ละเมิดลิขสิทธิ์
ขอออกตัวไว้ก่อนเลยครับว่า ผมเป็นคนสนับสนุน OSS สำหรับในเรื่อง usability ที่คนที่ใช้งาน PS พูดถึง ผมเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยบางส่วน เพราะซอฟต์แวร์หลาย ๆ ตัวที่เป็น OSS แล้วมี usability ที่ต่ำจริง ๆ เช่น GIMP, LibreOffice (ดันสำคัญทั้งสองตัวเสียด้วยสิ) หรือไม่เสถียรจริง ๆ เช่น Inkscape แต่ก็มี OSS อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีคุณภาพเทียบเท่า PS หรือบางตัวอาจดีกว่าด้วยซ้ำเช่น FireFox, Chromium, Drupal, Apache, PHP, MySQL, PostgreSQL (ทำไมมันเกี่ยวกับเว็บไซท์หมดเลยหว่า?) เรื่องนี้ผมยืนยันว่า หากจำเป็นต้องใช้งาน PS โดยเฉพาะคนที่ใช้ PS เป็นเครื่องมือทำมาหากิน ก็จำเป็นต้องซื้อ อย่าละเมิดลิขสิทธิ์
มาเข้าถึงประเด็นสำคัญคือ Business Model หรือวิธีการทำธุรกิจด้วย OSS ผมไม่เห็นด้วยแน่นอนว่า OSS ไม่เหมาะกับการทำธุรกิจ โดยดูได้จากตัวอย่างบริษัทไอทีมากมายทั่วโลก ที่ใช้ OSS เป็นส่วนขับเคลื่อน มากบ้าง น้อยบ้าง ตามแต่นโยบายของแต่ละที่ ซึ่งผมขอแยกลักษณะการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ OSS ดังนี้
OSS ในฐานะเครื่องมือ
บริษัทไอทีจำนวนมากจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ได้ใช้ OSS เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัท หากจะให้ยกตัวอย่างยักษ์ใหญ่ก็มี
และยังนับรวมถึงบริษัทที่ใช้ PHP, Java, MySQL, Linux, Apache, Drupal, Joomla, etc. เป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจ หากพิจารณาบริษัทไอทีที่ทำงานเกี่ยวกับ web-based ผมไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน แต่เดาว่ามีบริษัทเกินครึ่ง ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ OSS ในฐานะเครื่องมือ ข้อดีของการใช้ OSS ในฐานะเครื่องมือคือ
ซึ่งแน่นอนว่าหน้าที่ของ OSS ในลักษณะนี้ เราจะคาดหวังให้บริษัทต่าง ๆ contribute หรือมีส่วนร่วมในงานบางอย่าง เพื่อกลับไปสู่โครงการ OSS คงไม่ได้ แต่ส่วนมากแล้วบริษัทต่าง ๆ จะมีส่วนร่วมกับโครงการ OSS เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง เพื่อพัฒนา OSS ที่ใช้เป็นเครื่องมือ ในส่วนที่ยังตอบโจทย์ของบริษัทได้ไม่ดีนัก การมีส่วนร่วมลักษณะนี้ถือว่าเป็นการสร้างผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่ดีมากวิธีหนึ่ง
OSS ในฐานะสินค้า
การทำธุรกิจลักษณะนี้หากเทียบอัตราส่วนแล้วถือว่าน้อย เมื่อเทียบกับ OSS ในฐานะเครื่องมือ สาเหตุง่าย ๆ ก็เพราะว่า หากมี OSS ที่ฟรีอยู่แล้ว ใครจะมาเสียเงินซื้อซอฟต์แวร์ แต่ก็มี OSS จำนวนหนึ่ง ที่มีสัญญาอนุญาตในลักษณะ Dual Licensing กล่าวคือ จะมีการแยกแยะระหว่าง การนำซอฟต์แวร์ไปใช้งานเชิงพาณิชย์ และการนำซอฟต์แวร์ไปใช้ในลักษณะอื่น ๆ ซึ่งบริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ก็จะเก็บเงินจากหน่วยงานที่นำซอฟต์แวร์ไปใช้งานเชิงพาณิชย์
หรืออีกลักษณะที่มีการทำกันค่อนมากคือ การแยกซอฟต์แวร์ออกเป็น 2 เวอร์ชัน คือ เวอร์ชันที่เป็น PS และเวอร์ชันที่เป็น OSS (แตกต่างจาก Dual Licensing ตรงที่ Dual Licensing มีแค่เวอร์ชันเดียว)
คำถามคือ ทำไมพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นสินค้าโดยตรง (PS) ทำไมถึงต้องทำควบคู่กัน (OSS + PS) แนวคิดการทำธุรกิจในลักษณะนี้คือ
OSS ในฐานะการสร้างคู่แข่งทางธุรกิจเพื่อความเชื่อมั่น
อาจฟังดูแปลก ๆ แต่ลองนึกดูครับว่า หากเราสร้างเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมาหนึ่งอย่าง และเราเป็นบริษัทหน้าใหม่ สิ่งที่ลูกค้าจะถามคือ "เราจะมั่นใจในเทคโนโลยีของคุณได้อย่างไร?" แน่นอน เราสามารถสร้างความเชื่อมั่นในลักษณะอื่น ๆ ได้ แต่ทั้งนี้ การมีคู่แข่งทางธุรกิจ ที่ทำงานลักษณะเดียวกัน จะเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าได้อีกระดับหนึ่ง เพราะการที่มีบริษัทอื่น ๆ นอกเหนือจากบริษัทผู้ผลิตสนใจในเทคโนโลยีดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีได้ผ่านการตรวจสอบจากบริษัทที่นำไปใช้แล้วระดับนึง
OSS ในฐานะใบเบิกทาง
ในหลาย ๆ กรณี OSS ไม่สามารถสร้างผลประโยชน์ทางธุรกิจด้วยตัวมันเองได้ แต่สามารถสร้างผลประโยชน์ทางธุรกิจให้กับผู้ผลิต ด้วยสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวมันได้ โดยใช้ OSS เป็นตัวเบิกทาง โดยธุรกิจแวดล้อม OSS อาจมีความเป็นไปได้ดังนี้
บทสรุป
จะเห็นได้ว่าการทำธุรกิจด้วย OSS มีให้เลือกใช้มากมายหลายลักษณะ และหลาย ๆ อย่างก็ผ่านการพิสูจน์มานับครั้งไม่ถ้วน ว่าได้ผล แต่ทั้งนี้การทำธุรกิจทุกรูปแบบที่เขียนถึง เป็นรูปแบบการทำธุรกิจที่คนทำธุรกิจโดยทั่วไปไม่คุ้นชิน สิ่งที่คนทำธุรกิจคุ้นชินคือ การมองซอฟต์แวร์เป็นสินค้าตัวหนึ่ง ซื้อมา ขายไป ซึ่งลักษณะการทำธุรกิจของ OSS มีความซับซ้อนกว่านั้น ดังนั้น การทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ OSS ต้องมีการปรับกระบวนการคิดพอสมควร