กูเกิลรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2012 กำไรสุทธิ 3.33 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนที่ 2.64 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่รายได้สุทธิอยู่ที่ 1.065 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 24% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน
เมื่อจำแนกส่วนรายได้ออกมา ในส่วนของรายได้จากโฆษณาบนเว็บกูเกิลเองเพิ่มขึ้น 24%, Adsense เพิ่ม 20%, Paid click เพิ่มขึ้นถึง 39% ขณะที่ราคาต่อคลิกลดลง 12%
อีกเนื้อหาสำคัญในการประกาศผลประกอบการณ์นี้ คือการประกาศปันผลหุ้นคลาส C โดยผู้ถือหุ้นกูเกิลเดิมซึ่งถือเป็นคลาส A จะได้รับหุ้นปันผลคลาส C ซึ่งเป็นหุ้นด้อยสิทธิ์ออกเสียง (non-voting) ในอัตราส่วน 2 หุ้นคลาส C ต่อการถือ 1 หุ้นคลาส A เดิมซึ่งทำให้หลังจากนี้หุ้นกูเกิลจะมีการซื้อขายกันในตลาดแยกเป็น 2 ตัวย่อในราคาที่ไม่เท่ากัน โดยซีอีโอ Larry Page ชี้แจงว่าการปันผลหุ้นในวิธีดังกล่าวก็เพื่อรักษาโครงสร้างทางการเงินและสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นกูเกิลเดิมไว้
ในส่วนของเนื้อหาช่วงแถลงผลประกอบการณ์กับนักวิเคราะห์มีดังนี้ครับ
- เงินสดในมือตอนนี้ 4.93 หมื่นล้านดอลลาร์ (เพิ่มขึ้นราว 5 พันล้านจากไตรมาสก่อนหน้า)
- ซีเอฟโอ Patrick Pichette บอกว่าบริษัทจะสำรองเงินเพื่อการลงทุนทางกลยุทธ์ที่จำเป็นในอนาคต จึงไม่มีแผนซื้อหุ้นคืนหรือปันผลเงินสดตอนนี้
- พนักงานเต็มเวลา 33,077 คน จากไตรมาสก่อนหน้า 32,467 คน
- อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินอยู่ที่ 37% ลดลงจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 38%
- Page บอกว่าเขาพยายามอย่างหนักเพื่อให้กูเกิลมีไฟในการทำงานแบบเดียวกับสมัยยังเป็นสตาร์ทอัพ
- Page บอกว่าเขามีผู้ติดตามใน Google+ แล้ว 2 ล้านคน
- ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน Google+ 170 ล้านคน
- Chrome มีผู้ใช้งานแล้ว 200 ล้านคน
- รายได้จากการแสดงโฆษณาเพิ่มขึ้นปีละ 5 พันล้านดอลลาร์
- Android มีการเปิดใช้งาน 850,000 ครั้งต่อวัน
- กูเกิลยังไม่มีแผนซื้อกิจการขนาดใหญ่ในตอนนี้
- ซีเอฟโอบอกไม่อยากให้กังวลที่ราคาต่อคลิก (cost per click) ลดลง เพราะมันมีปัจจัยแวดล้อมหลายอย่าง ทั้งพฤติกรรมการคลิก, โฆษณาบนมือถือ ตลอดจนอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
- รายได้จากในอเมริกาเพิ่มขึ้น 22% ขณะที่ต่างประเทศเพิ่มขึ้น 54%
- จะมีการปรับปรุงของ Google Wallet ร่วมกับ Google Play แน่นอน
- ค่าใช้จ่ายทั่วไปของกูเกิลแบ่งได้ 3 ส่วน คือ 70% บนโฆษณาและเสิร์ช, 20% ในการลงทุนระยะสั้น, 10% ในการลงทุนระยะยาว
- ไม่มีการอธิบายเรื่องแท็บเล็ตของกูเกิล บอกเพียงว่า Play คือหนึ่งในยุทธศาสตร์ และกูเกิลก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบ Kindle Fire
ที่มา: Bloomberg, Forbes, กูเกิล 2012 Founder's Letter, Business Insider และ Google+ ของ Larry Page