การเปิดตัว Galaxy S III เมื่อคืนนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจและน่าพูดถึงหลายอย่าง แต่ผมคิดว่าสิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ "ทิศทาง" การพัฒนาของสมาร์ทโฟนระดับ flagship ในรอบปีล่าสุด
ถ้าเรานำการเปิดตัว iPhone 4S ของแอปเปิลในปีที่แล้วมาเทียบ เราจะเห็นว่าถึงแม้รายละเอียดจะแตกต่าง แต่ไอเดียหรือคอนเซปต์ที่ทั้งสองบริษัทนำเสนอเป็นเรื่องเดียวกัน นั่นคือ "นวัตกรรมย้ายมาอยู่ที่ซอฟต์แวร์" (อ่านบทความ อย่าเพิ่งผิดหวังกับ iPhone 4S ประกอบ)
สเปกด้านฮาร์ดแวร์ของ Galaxy S III ถือว่าปรับปรุงขึ้นมาหลายจุด และแน่นอนว่ามันเป็นมือถือที่สเปกดีที่สุดในปัจจุบันอย่างไม่ต้องสงสัย (และคงจะครองตำแหน่งนี้ไปอีกพักใหญ่)
แต่ถ้าเราพิจารณาให้ละเอียดขึ้น ก็จะเห็นว่าสเปกที่เพิ่มขึ้นของ S III ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากมือถือรุ่นก่อนๆ ของซัมซุงแบบสุดขั้วมากนัก จุดที่เปลี่ยนเยอะที่สุดคงเป็นซีพียู Exynos แบบควอดคอร์ แต่ซีพียูควอดคอร์บนมือถือก็ไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะคู่แข่งอย่าง HTC ออก HTC One X มาก่อนหน้าแล้ว
ประเด็นที่หลายคนผิดหวังคงเป็นเรื่องจอภาพ เพราะสุดท้ายแล้ว S III ใช้จอ HD Super AMOLED ตัวเดียวกับ Galaxy Nexus (Pentile!) ความละเอียดเท่ากัน แค่ขนาดใหญ่กว่ากันเล็กน้อย ส่วนกล้องถ้าวัดตามสเปกยังอยู่ที่ 8MP เท่ากับ S II เพียงแต่นวัตกรรมไปอยู่ที่ฝั่งซอฟต์แวร์กล้องแทน (เช่น เปิดกล้องเร็ว โหมดถ่ายแบบพิเศษต่างๆ)
สเปกด้านอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรใหม่มากนัก (แต่ใส่เข้ามาให้ครบถ้วนขึ้น) เช่น แรม 1GB, ความจุ 16/32/64GB, NFC, Wi-Fi N, Bluetooth 4.0 การรองรับเครือข่ายเป็น LTE ตามสมัยนิยม
จุดที่น่าสนใจในฝั่งฮาร์ดแวร์คงอยู่ที่ระบบชาร์จไร้สาย (ซึ่งว่ากันตามตรง Palm Pre ก็ทำมาก่อนแล้ว) แต่ซัมซุงกลับไม่พูดถึงเรื่องนี้มากนัก คาดว่ายังทำไม่เสร็จครับ
นวัตกรรมจริงๆ ของ Galaxy S III มาอัดแน่นอยู่ในฝั่งซอฟต์แวร์เกือบหมด โดยพื้นฐานแล้ว ตัวระบบปฏิบัติการยังเป็น Android 4.0 ICS โดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ "ฟีเจอร์อำนวยความสะดวก" ที่ช่วยเติมเต็มให้ S III กลายเป็นสินค้าคอนซูเมอร์ที่สมบูรณ์มากขึ้นต่างหาก
ในงานเปิดตัวมือถือของซัมซุงปีก่อนๆ เราพูดกันถึง TouchWiz ที่ปรับแต่งหน้าตาของ Android ให้สวยขึ้น เพิ่มการเชื่อมต่อกับเครือข่ายสังคมต่างๆ ให้มากขึ้น ซึ่งบริการพวกนี้ไม่ต่างอะไรกับคู่แข่ง (อย่าง Sense) มากนัก
แต่ในระยะหลัง เราเริ่มเห็นฟีเจอร์ประสานงานกับเนื้อหาดิจิทัลบนอินเทอร์เน็ตมากขึ้น (ในกรณีของซัมซุงก็คือแอพตระกูล Hub ต่างๆ) และฟีเจอร์เฉพาะทางอย่างปากกา S Pen ที่เริ่มใช้ใน Galaxy Note ซึ่งก็มีประโยชน์จริงสำหรับการจดโน้ตหรือวาดภาพ
สำหรับกรณีของ S III ของใหม่ในฝั่งซอฟต์แวร์จะเลิกพูดถึงฟีเจอร์เก่าๆ ของ TouchWiz แล้ว แต่หันมาเน้นเรื่องฟีเจอร์อำนวยความสะดวกในประเด็นต่างๆ แทน เช่น
ฟีเจอร์ทั้งหมดนี้จะเห็นว่ามันไม่ได้ทำอะไรใหม่มากนัก แต่ช่วยให้ทำงานแบบเก่าๆ ได้สะดวกขึ้นมาก
ผมคิดว่าฟีเจอร์ด้านซอฟต์แวร์เกือบทั้งหมดที่ว่ามานี้ (ซัมซุงเรียกว่า TouchWiz Nature UX) จะเซ็ตมาตรฐานแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ของซัมซุงในอีก 1-2 ปีข้างหน้า และมือถือซัมซุงรุ่นถัดๆ ไปจะมีฟีเจอร์พวกนี้เข้ามาเป็นมาตรฐาน และกลายเป็นจุดสร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่งในท้องตลาดได้ต่อไป (ได้เยอะน้อยขึ้นกับราคานะ :P)
สิ่งที่แถลงในงานด้วยแต่โดนข่าวตัวมือถือกลบซะมิด ก็คือแอพและบริการออนไลน์อื่นๆ ที่เปิดตัวพร้อมกัน
ที่เป็นข่าวมีดังนี้
สิ่งที่น่าผิดหวังอยู่บ้างคือข่าวลือ S-Cloud บริการกลุ่มเมฆของซัมซุงยังไม่เป็นความจริง ทำให้ซัมซุงยังไม่มีอาวุธไปต่อกรกับ iCloud ของแอปเปิลได้ตรงๆ ในตอนนี้ (แต่สุดท้ายมันจะเกิดขึ้นแน่ๆ)
ต้องยอมรับว่าฮาร์ดแวร์มือถือพัฒนาแบบก้าวกระโดดมากๆ ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ เมื่อปี 2009-2010 เรายังใช้มือถือจอละเอียด 320x480 กันอยู่เลย มาวันนี้หน้าจอเขยิบขึ้นมาที่ 1280x720 กันแล้ว ส่วนซีพียูก็จากหลัก MHz ก็เปลี่ยนมานับเป็น GHz และจำนวนคอร์ก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าๆ ตัว
เราอาจใช้กฎของมัวร์มาอธิบายพัฒนาการของสเปกฮาร์ดแวร์ (นอกเหนือไปจากซีพียู) ได้บ้าง แต่ความต้องการใช้งานฝั่ง demand side ของผู้บริโภคมันไม่ได้เติบโตด้วยอัตราเท่ากันนะครับ เมื่อจอภาพชัดในระดับหนึ่ง ซีพียูเร็วขึ้นจนถึงระดับหนึ่งที่พอใช้งานทั่วๆ ไปได้ไหลลื่น คนส่วนใหญ่ย่อมไม่ต้องการจอภาพ 4 นิ้วขนาด 2560x1336 หรือซีพียู 2.5GHz แปดคอร์กันสักเท่าไร
ผมเชื่อว่าตอนนี้โลกของฮาร์ดแวร์มือถือเริ่มมาถึงทางตันแล้ว เราใส่อะไรต่อมิอะไรเข้ามาชนิดว่าเมื่อ 4-5 ปีก่อนคงจินตนาการกันไม่ถึง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่ iPhone 4S, iPad รุ่นสาม หรือ Galaxy S III มันเปลี่ยนจากรุ่นเดิมไม่เยอะนัก ความต่างของสเปกลดลงเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนรุ่นช่วง 2-3 ปีก่อน
ทิศทางของโลกสมาร์ทโฟนจึงต้องหมุนออกไปทางอื่น ที่ผมคิดออกมี 2 ทาง (ที่เดินไปด้วยกันได้) นั่นคือ
ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า เราคงได้เห็นนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นในฝั่งซอฟต์แวร์กันอีกเยอะ ที่เห็นอยู่ในวันนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นครับ (และแน่นอนว่าเป็นโอกาสทองของผู้พัฒนาแอพทั่วโลกด้วย กรณีของ Instagram น่าจะพิสูจน์ชัดเจน)
Galaxy S III จะเป็นมือถือขายดีแน่นอน แต่น่าซื้อแค่ไหนคงต้องมาดูราคาเปิดตัวในประเทศไทยกันอีกทีครับ