รีวิว OPPO Finder สมาร์ทโฟนบางที่สุดในโลก 6.65 มม.

by advertorial
28 June 2012 - 19:01

การเติบโตของตลาดสมาร์ทโฟนที่นับวันก็ยิ่งสูงยิ่งขึ้น ดึงดูดให้มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาอยู่เสมอๆ หนึ่งในนั้นก็คือ OPPO ที่เพิ่งทิ้งตลาดฟีเจอร์โฟน เพื่อบุกตลาดสมาร์ทโฟนอย่างเต็มตัว และได้ส่ง OPPO Find 3 ลงตลาดไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับค่อนข้างดี

ไม่ได้ทิ้งช่วงนานนักก็มีข่าวว่า OPPO กำลังทำสมาร์ทโฟนที่บางที่สุดในโลก อย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เชื่อว่าถึงตอนนี้หลายคนคงรู้กันแล้วว่ามือถือรุ่นนี้ชื่อว่า OPPO Finder เจ้าของตำแหน่งสมาร์ทโฟนบางที่สุดในโลกเพียง 6.65 มม.

ในขณะที่เขียน OPPO Finder ยังไม่ได้วางตลาด แต่เปิดราคามาแล้วที่ 14,900 บาทครับ

เกริ่นมาพอสมควรแล้วก็มาดูรอบตัวเครื่องกันเลย

ฮาร์ดแวร์

หลายคนอาจจะมีข้อกังขาว่ามือถือแบรนด์จีนมักจะงานประกอบไม่ดีนัก แต่วัสดุที่ใช้ประกอบ Finder นั้นเป็นอลูมิเนียมทั้งชิ้น และงานประกอบก็ทำได้ดีไม่มีช่องว่างระหว่างตัวเครื่องมากวนใจแต่อย่างใด

จอภาพที่ Finder ใช้เป็นจอ AMOLED ที่เรียงพิกเซลแบบ RGB ขนาด 4.3" เปรียบเทียบแล้วให้คุณภาพใกล้เคียงกับจอของ Galaxy S II อย่าง Super AMOLED Plus ให้คอนทราสต์จัด สีดำสนิทตามมาตรฐาน AMOLED

แน่นอนว่ากระจกที่ใช้ก็เป็น Corning Gorilla Glass เช่นกัน

ด้านล่างของตัวเครื่องมีปุ่มมาตรฐานสำหรับแอนดรอยด์อย่าง menu, home และ back ตามลำดับ สังเกตดีๆ จะเห็นไมโครโฟนที่ขอบล่างตัวเครื่องด้วย

ด้านบนวางกล้องหน้าไว้ทางด้านซ้าย ข้างๆ กันเป็นลำโพงสนทนา

พลิกมาดูด้านซ้ายของตัวเครื่องจะพบกับช่องสำหรับเสียบซิมการ์ดแบบ micro SIM ที่ไม่ต้องใช้ถาด เพราะสามารถกดให้ซิมเด้งออกมาได้ ส่วนสามจุดสีเงินอีกฝั่งมีไว้สำหรับเชื่อมต่อกับด็อกกิ้ง

ด้านขวาของตัวเครื่องมีเพียงปุ่มปรับเพิ่ม/ลดเสียงที่ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียมเหมือนกับของตัวเครื่อง

ตัวเครื่องด้านข้างพอจับวางตรงๆ แล้วจะเห็นว่าเครื่องบางมากสมราคา 6.65 มม.

ด้านบนตัวเครื่องมีปุ่มเปิด/ปิด และช่องสำหรับ micro USB ที่ต้องทำงานหนักเสียหน่อย นอกจากชาร์จ และโอนข้อมูล ยังต้องไว้ใช้เสียบสมอลทอล์ค หรือหูฟังอีกด้วย เพราะว่าตัว Finder ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. มาให้ ด้วยขนาดตัวเครื่องที่บางมาก ก็เป็นจุดที่ต้องแลกกันไป (เห็นว่าเครื่องขายจริงจะมีหูฟังที่เสียบผ่านพอร์ต micro USB แถมมาให้)

พลิกมาด้านหลังของตัวเครื่อง จะเห็นโลโก้ OPPO อยู่ตรงกลาง ด้านหลังของตัวเครื่องเป็นอลูมิเนียมเช่นกัน โดยทำเป็นสีดำสองความเข้มตัดกัน

กล้องที่ Finder ใช้มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช LED คู่ ที่ดูแล้วน่าจะเป็นมอดูลตัวเดียวกับที่ใช้ใน Find 3 ส่วนคุณภาพไว้ดูกันทีหลังครับ

จะเห็นว่าส่วนกล้องนูนจากฝาหลังมานิดหน่อย ตรงส่วนนี้จะหนาประมาณ 8 มม.

แม้ว่าตัวเครื่องจะบาง แต่ว่าชื่อชั้นของ OPPO ในแง่ของเสียงก็ไม่ได้ด้อยลงไปเลย ลำโพงด้านหลังเครื่องนั้นจัดว่าให้เสียงดีกว่าสมาร์ทโฟนหลายรุ่นในตลาด

ลองถือตัวเครื่อง Finder แล้วพบว่ามีปัญหาเดียวกับมือถือเครื่องบางฝาหลังตัดเรียบรุ่นอื่นๆ (เช่น RAZR) ตรงที่เครื่องไม่พอดีกับอุ้งมือ และต้องใช้วิธีการหนีบเครื่องแทน ใช้แรกๆ จะไม่ถนัดเท่าไหร่ครับ

สำหรับการใช้นิ้ววาดไปตามหน้าจอ และปุ่มด้านล่างก็ทำได้ด้วยนิ้วโป้งนิ้วเดียว แต่สำหรับคนใช้มือขวาถือ จะกดปุ่ม menu ด้านซ้ายสุดลำบากหน่อย ต้องเอื้อมนิ้วเยอะกว่าปกติ

หน้าจอขนาด 4.3" เปรียบเทียบกับรุ่นน้องอย่าง OPPO Guitar ที่ใช้หน้าจอ 3.5" แล้วเห็นได้ว่าขนาดหน้าจอต่างกันมาก แต่ตัวเครื่องไม่ต่างกันนัก เนื่องจากขอบจอของ Finder นั้นค่อนข้างบาง

สุดท้ายวัดกันที่ความบาง 6.65 มม. กับอีกรุ่นที่ 11.6 มม. ได้ผลดังนี้ครับ

โดยรวมแล้วฮาร์ดแวร์ของ Finder ถือว่าทำได้ดีทั้งงานประกอบภายนอก วัสดุตัวเครื่อง และสเปคภายในที่ใช้ชิป Qualcomm Snapdragon S3 และแรม 1GB เหมือนกับรุ่นที่ออกมาก่อนอย่าง Find 3 ครับ แต่เพิ่มเติบการรองรับ 3G ของเมืองไทยได้ทุกค่ายด้วย ต่อไปเดี๋ยวเราไปดูส่วนซอฟต์แวร์กันเลย

ซอฟต์แวร์

ต้องออกตัวก่อนว่าซอฟต์แวร์ที่ใช้ทดสอบนี้ยังเป็นรุ่นทดสอบอยู่ และยังรันแอนดรอยด์ Gingerbread (ทราบมาว่ารุ่นขายจริงจะเป็น ICS ครับ) ในแง่หน้าตา และประสิทธิภาพ อาจมีการเปลี่ยนแปลงในรุ่นขายจริง แต่โดยรวมแล้วอินเทอร์เฟซของ Finder นั้นเหมือนกับ Find 3 เป๊ะๆ

หน้าล็อกสกรีนมาตรฐานของ Finder เป็นแบบใช้นิ้วปัดไปทางซ้ายหรือขวาก็ได้ เพื่อปลดล็อกหน้าจอ ด้านล่างมีแสดงเวลา และ notification อย่างสายที่ไม่ได้รับ ข้อความที่ไม่ได้อ่าน พอเข้าไปถึงโฮมสกรีนจะเห็นว่าไอคอนของ Finder ทุกตัวจะถูกครอบด้วยกรอบเหล็กอีกชั้น เพื่อให้หน้าตาเหมือนกัน ด้านล่างมีปุ่มเข้าโทรศัพท์ เปิดหน้ารวมแอพ และข้อความ ซึ่งปรับไม่ได้ และตรงนี้จะมีตัวเลขสีแดงขึ้นมา ถ้าหากว่ามีสาย/ข้อความที่ยังไม่ได้รับอีกด้วย

พอเราลาก notification bar ลงมาก็จะเจอกับช็อตคัทสำหรับเปิดปิด Wi-Fi, บลูทูธ หรือเน็ตมือถือ ซึ่งลากไปทางซ้ายเพื่อเพิ่มช็อตคัทได้อีก

วิธีการจัดการหน้าโฮมสกรีนทำได้ด้วยการกดค้าง แล้วจะมีให้เลือกเพิ่มวิดเจ็ต ช็อตคัท โฟลเดอร์ หรือเปลี่ยนภาพพื้นหลังขึ้นมาครับ

ส่วนหน้ารวมแอพ (drawer) จะแปลกกว่าเจ้าอื่นเสียหน่อยตรงที่ถ้ากดค้างที่แอพ จะไม่เด้งไปที่หน้าโฮมสกรีนเลย ต้องลากมาไว้ด้านล่างตรงแถบ "Drag to desktop" จึงจะเอาแอพไปวางบนโฮมสกรีนได้

นอกจากนี้พอกดค้างที่แอพแล้ว จะเห็นเครื่องหมายกากบาทสำหรับลบแอพได้จากตรงนั้นอีกด้วย หรือถ้าลากแอพไปวางทับกันจะเป็นการสร้างโฟลเดอร์อัตโนมัติ

ในส่วนของการตั้งค่า ต้องบอกว่า OPPO เลือกเรียงตำแหน่งใหม่ จากของเดิมที่แอนดรอยด์จะเรียงเป็นคอลัมน์เดียว แต่ OPPO แบ่งเป็นสามคอลัมน์คือ General, Sound, Display และ Security

ส่วนที่เราต้องไปปรับบ่อยๆ อย่าง Wi-Fi ตั้งคีย์บอร์ด ฯลฯ ก็จะอยู่รวมกันใน General ส่วนที่เหลือทั้งสามอย่างก็ตรงตัวครับ

ในหมวด Display จะเห็นได้ว่ามีตัวเลือก custom settings ให้เลือกด้วย ส่วนีน้เป็นการปรับอินเทอร์เฟซของตัวเครื่องอย่างอนิเมชันระหว่างเลื่อนจอ ธีม และวิธีปลดล็อกหน้าจอครับ

อินเทอร์เฟซของแอพกล้อง และวิดีโอทำมาให้ปรับแต่งได้อย่างง่าย สำหรับภาพนิ่งปรับได้เพียงเปิดปิดโหมด HDR, โหมดถ่ายภาพกลางคืน และปิดเสียงชัตเตอร์เท่านั้น ส่วนวิดีโอสามารถเลือกความละเอียดได้ว่าจะใช้ 720p หรือ 1080p และเลือกชนิดไฟล์ที่จะบันทึกได้

สำหรับคนชอบถ่ายรูปแบบมีเอฟเฟกคงต้องลองแอพอีกตัวที่ชื่อว่า Lomo Camera ครับ

แอพที่น่าสนใจอีกตัวคือแอพเล่นวิดีโอ ที่พ่วงระบบเสียง Dolby Mobile มาด้วย ความต่างระหว่างเปิดกับปิดคือมิติของเสียงที่ต่างกัน และความดังที่เพิ่มขึ้นครับ (ดูไปก็ใกล้เคียงกับ Beats Audio)

เบนช์มาร์ค และแบตเตอรี่

เนื่องจากสเปคโดยรวมเหมือนกับ Find 3 ดังนั้นเราก็จะจับเจ้า Finder มาทดสอบกันพอเป็นพิธีครับ เริ่มต้นกันด้วยแอพสามัญอย่าง Quadrant Standard ที่ได้คะแนนราว 2900-3200 แต้ม และ Multitouch Tester ใช้งานได้สิบจุดครับ (แต่เสถียรที่ 4 จุด)

ต่อไปก็ทดสอบซีเรียสขึ้นหน่อยด้วย Antutu Benchmark ได้คะแนน 6573 แต้ม วัดตามกราฟแล้วได้ระดับเดียวกับ Galaxy Note แต่ก็ยังเป็นรองพวกควอดคอร์ที่ทำคะแนนหลักหมื่นขึ้นอยู่ดี

สำหรับแบตเตอรี่ที่สงสัยกันมากว่า เครื่องบางแค่นี้แบตจะทนไหม ผมลองเปิดเน็ต (3G สลับกับ EDGE) ทั้งวัน เล่น Twitter และ Facebook รวมกันประมาณสองชั่วโมง ใช้งานได้ราว 7-8 ชั่วโมงครับ ถ้าเปิดสแตนบายด์ต่อเน็ตรับ notification อย่างเดียวหมดวันแล้วแบตยังเหลือเกินครึ่งด้วยซ้ำ ตัวเครื่องไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ บางช่วงที่ใช้งานหนัก ด้านหลังช่วงบนๆ จะร้อนที่สุดครับ

เพื่อไม่ให้รู้สึกว่าคิดไปเอง เลยจับไปทดสอบกับ Battery Tester ด้วย ได้คะแนนที่ 658 แต้ม ใกล้เคียงกับ Galaxy S III ที่ได้ 668 แต้มครับ

ปิดท้ายกันด้วยภาพนิ่งครับ กล้องของ Finder ถือว่าค่อนข้างดีเทียบกับขนาดตัวเครื่องที่บางเท่านั้น ในสภาพแสงพอเหมาะจะให้สีออกมาค่อนข้างตรง (บางคนอาจบอกว่ามันจืดไป) สปีดชัตเตอร์ยังไม่เร็วนัก และไม่มี zero lag shutter เสียเปรียบคู่แข่งพอสมควรครับ

แฟลชของ Finder ให้แสงแรงมาก จากการทดสอบพบว่าทำให้สมดุลแสงทำงานพลาดสีจะออกเหลืองๆ เขียวๆ ตรงนี้น่าจะเป็นเพราะซอฟต์แวร์ยังไม่สมบูรณ์ครับ

ภาพตัวอย่างสามารถกดเพื่อดูภาพขนาดเต็มได้นะ

สรุป

Finder น่าจะเป็นมือถือที่บางที่สุดในโลกไปอีกพักหนึ่ง เพราะว่าช่วงหลังมานี้การแข่งความบางของสมาร์ทโฟนไม่ได้ดุเดือดเหมือนเมื่อปีที่แล้ว สำหรับค่าตัว 14,900 บาท ไม่ได้ราคาสูงเลยสำหรับสเปคที่ยังรุ่นท็อปของตลาด จอ AMOLED และความบางระดับนี้

แต่ว่าต้องรับข้อจำกัดของรุ่นนี้อย่างการไม่มีพอร์ต 3.5 มม. (ที่หาซื้อตัวแปลงได้ทั่วไป) และกล้องที่ยื่นออกมาจากฝาหลังครับ

ข้อดี

  • ประสิทธิภาพการทำงานสูง เล่นเกมสามมิติแทบทุกเกมได้โดยไม่กระตุก
  • หน้าจอ Super AMOLED Plus สีสด ภาพคม
  • วัสดุอลูมิเนียม งานประกอบแน่นหนา
  • รองรับ 3G ได้ทุกเครือข่ายในเมืองไทย

ข้อเสีย

  • ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.
  • ฝาปิดพอร์ต micro USB และ micro SIM ไม่ค่อยแข็งแรง
  • เพิ่ม micro SD ไม่ได้
Blognone Jobs Premium