iPhone 5 ได้เปิดตัวไปแล้ว แต่สำหรับหลายคนอาจจะรู้สึกว่าหลายอย่างในนั้นมันไม่ใหม่พอ ซึ่งคงเหมือนกับ Jessica E. Vascellaro ผู้สื่อข่าว WSJ ที่มองว่า iPhone 5 มีการพัฒนาต่อยอดขึ้นมาพอสมควรจากรุ่นก่อนหน้า หากแต่หลายอย่างก็เป็นการไล่ตามมาตรฐานปัจจุบันของสมาร์ทโฟนเท่านั้น โดย iPhone 5 มีความสามารถหลายอย่างที่ควรจะมีอยู่แต่กลับไม่มีดังนี้
การจ่ายเงินผ่าน NFC
NFC กลายเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ทั้ง Android และ Windows Phone มันช่วยเพิ่มความสามารถในการชำระเงินให้สะดวกขึ้น รวมทั้งใช้เพื่อแลกเปลี่ยนไฟล์ระหว่างสมาร์ทโฟนด้วยกันได้อย่างง่ายดาย แต่สิ่งที่ iPhone 5 มีคือระบบ Passbook ที่เปรียบเสมือนตั๋วคูปองดิจิตอลเท่านั้น
สำหรับประเด็นนี้ Phil Schiller รองประธานฝ่ายการตลาดของแอปเปิลได้ให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมากับ All Things D ว่าแอปเปิลเองไม่แน่ใจว่า NFC นั้นจะมีปัญหาอื่นตามมาหรือไม่ในอนาคตจึงไม่นำมันมาใส่ใน iPhone 5 และวิธีของ Passbook นั้นก็เป็นวิธีการที่ลงตัว ง่ายดายที่สุดทั้งสำหรับลูกค้าและร้านค้า
Home Screen แบบปรับแต่งได้
ปัญหานี้น่าจะเป็นการก้าวข้ามไม่พ้นข้อจำกัดที่ใหญ่มากสำหรับ iOS เพราะในขณะที่ผู้ใช้ Android สามารถปรับแต่งหน้าการใช้งานได้ด้วย widget มากมาย แต่ iPhone 5 ก็ยังรักษาเอกลักษณ์หน้า Home แบบเดิมไว้เหมือนในอดีต ซึ่งอาจเป็นผลเสียในระยะยาวเพราะ widget บน Android นั้นสามารถจัดเรียงข้อมูลที่สำคัญมาเตือนไว้ในหน้า Home ได้เลย ไม่ต้องเรียก Notification Center แบบ iOS ทำให้เราเห็นสภาพอากาศปัจจุบัน, อีเมล, การแจ้งเตือน Facebook ได้ในหน้าแรก ซึ่งการทำงานลักษณะดังกล่าวก็มีใน Windows Phone ด้วยเช่นกัน
Face Unlock
Android รุ่นใหม่นั้นมีคุณสมบัติปลดล็อกด้วยการรู้จำใบหน้าผู้ใช้งาน ซึ่งมันก็ทำงานได้ดีทีเดียวแต่สำหรับ iPhone แล้วการปลดล็อกยังคงต้องใช้นิ้วปาดอยู่เหมือนเดิม
จอใหญ่ขึ้น แต่ก็ไม่มาก
iPhone 5 มาพร้อมกับหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นคือขนาด 4 นิ้ว แต่ความจริงแล้วหน้าจอ 4 นิ้วก็ไม่ได้เป็นหน้าจอที่จัดว่าใหญ่นัก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นเด่นดังในปัจจุบันอย่าง Galaxy S III ของซัมซุงที่มีขนาดหน้าจอถึง 4.8 นิ้วไปแล้ว
ชาร์จไร้สาย
คุณสมบัติชาร์จไร้สายกำลังเป็นมาตรฐานใหม่ของสมาร์ทโฟน ซึ่งโนเกีย Lumia 820 และ 920 มีมันแล้วแต่ iPhone 5 กลับเลือกการชาร์จแบบมีสายต่อไป โดยปรับแค่ขนาดหัวเชื่อมต่อให้เล็กลงเท่านั้น
สำหรับประเด็นนี้ Schiller ได้กล่าวถึงเช่นกัน โดยเขาบอกว่าระบบชาร์จไร้สายนั้น ตัวแผงที่ใช้สำหรับวางอุปกรณ์เพื่อชาร์จไฟก็ยังต้องเชื่อมต่อกับส่วนอื่นอยู่ดี ซึ่งสำหรับสภาพการใช้งานทั่วไปแล้วมันคือความยุ่งยากมากขึ้นมากกว่า ส่วนเหตุผลที่แอปเปิลเลือกเปลี่ยนมาใช้ตัวเชื่อมต่อ Lightning ที่เล็กลงนั้นก็เพื่อรองรับอุปกรณ์ในอนาคตที่ต้องการความบางมากขึ้นนั่นเอง
ที่มา: WSJ