ในคืนนี้หลังจากแอปเปิลเปิดตัวสินค้าชิ้นใหม่อย่าง iPad 4 และ iPad Mini ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในหลายๆ แง่ ดังนั้นผมเลยขอนำมาเขียนเป็นบทความวิเคราะห์ให้อ่านกันครับ
ขอชี้แจงให้ทราบว่าบทความนี้เขียนจากมุมมอง ข้อคิดเห็น และความคิดส่วนตัวเท่านั้นครับ
ท่ามกลางกระแสความนิยมของแท็บเล็ตขนาดจอ 7" ที่ได้รับความนิยมด้วยเหตุผลของความสะดวกในการพกพา ผมคาดว่าแอปเปิลน่าจะเล็งเห็นความสำคัญของตลาดลูกค้าที่ต้องการแท็บเล็ตขนาดพอดีมือที่สามารถทำงานทั่วไป แต่ในขณะเดียวกันสตีฟ จ็อบส์ก็เชื่อมาโดยตลอดว่าแท็บเล็ตขนาด 7" มีขนาดเล็กไป และมนุษย์จำเป็นต้องมีนิ้วมือที่เล็กลงเพื่อที่จะสามารถสั่งงานบนหน้าจอขนาดนั้นได้
สิ่งที่ออกมาคือ iPad mini ที่มาพร้อมขนาดหน้าจอ 7.9" ซึ่งวิศวกรของแอปเปิลบอกว่ามีพื้นที่มากกว่าจอ 7" อยู่ 35% แต่ยังคงความละเอียดของหน้าจอไว้ที่ 1024x768 หรือเท่ากับ iPad 2 ซึ่งหากมองในมุมมองของนักพัฒนาแล้ว นักพัฒนาสามารถนำแอปที่มีอยู่แต่เดิมมาใช้บน iPad Mini ได้ทันที
ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วผมเชื่อว่าขนาดเส้นทแยงมุมหน้าจอที่เล็กลงไปเหลือประมาณ 80% น่าจะทำให้แอปเก่าๆ มีปัญหา และผู้ผลิตก็จำเป็นที่จะต้องอัพเดตแอปกันอยู่ดีครับ
สำหรับนักพัฒนาแอปที่ต้องการทดสอบความสะดวกในการใช้งานแอปบน iPad mini สามารถทำได้โดยเปิดภาพหน้าจอความละเอียด 1024x768 บนโน้ตบุ๊กทั่วไป แล้วตั้งกำลังขยายภาพไว้ที่ 81.44% จะได้ขนาดแอปคร่าวๆ ไว้สำหรับกะประมาณครับ
สิ่งที่แอปเปิลชูเป็นจุดขายของ iPad mini มีอยู่สามอย่างด้วยกัน
คำถามคืองานหลัก (key tasks) ที่สามารถทำงานบน iPad mini ได้คืออะไร?
ผมคิดว่างานที่สามารถทำบนจอขนาด 7.9" ได้ดีที่สุดคือการใช้ด้านความบันเทิง โดยเฉพาะการใช้สังคมออนไลน์, อ่านฟีดจากสำนักข่าว, หรือเข้าเว็บทั่วไป และในขณะเดียวกัน iPad ขนาด 9.7" ก็จะยังคงตีตลาดผู้ที่ต้องการทำงานเกี่ยวกับเอกสาร หรือใช้งานโปรแกรมสำนักงานบน iPad (สังเกตได้จากในงานไม่มีการโชว์โปรแกรมชุด iWork บน iPad mini เลย)
ถึงแม้เราจะไม่เคยบ่นว่า Galaxy Tab 7 เล็กเกินไป แต่ผมว่าแอปเปิลคิดถูกที่ออกแท็บเล็ตขนาดเท่านี้มา (มีอีกวิธีหนึ่งคือการแบ่งรุ่นขนาดจอย่อยไปอีก – แต่นี่คือแอปเปิล)
ในขณะเดียวกัน iPad ก็เป็นแท็บเล็ตแบรนด์เนมราคา ~10,000 บาทที่มีจอขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งเมื่อเทียบกับ Nexus 7 รุ่น 16GB ที่ขายในไทยด้วยราคา 9,900 บาท ผมเชื่อว่ามีหลายคนที่พร้อมเพิ่มเงินอีกไม่กี่บาทเพื่อแลกกับจอที่ใหญ่ขึ้นและ "แบรนด์แอปเปิล"
ถ้าใครดู Keynote จะเห็นว่าในงานมีการนำ iPad mini มาเทียบกับ Nexus 7 ในด้านต่างๆ ทั้งขนาด, น้ำหนัก และหน้าจอ ซึ่งแอปเปิลทำการบ้านมาดีมาก เพราะตัวเครื่องนั้นกว้างกว่า Nexus 7 แค่ 14.7mm (iPad mini 134.7mm – Nexus 7 120mm) แต่สามารถใส่หน้าจอที่ใหญ่กว่า และน้ำหนักที่เบากว่ากัน 36g ครับ
สรุปผมมองว่าการที่แอปเปิลนำ iPad mini ลงสู่ตลาดนั้น เพื่อตีตลาดแท็บเล็ตที่มีราคาถูกและจอเล็กลง และเมื่อมีข่าวว่า Google จะเลิกขาย Nexus 7 รุ่น 8GB ($199) ผมคิดว่า iPad mini สามารถที่จะเบียดตลาดของ Nexus 7 ได้ครับ
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของการเปิดตัว iPad 4 ไม่ใช่สเปก, หน้าตา หรือสิ่งอื่นใด แต่เป็นช่วง life cycle ที่สั้นลงมาก
ย้อนไปตั้งแต่ปี 2010 iPad แต่ละรุ่นเปิดตัวในวันที่ดังนี้
อายุความเป็นสินค้าตัวใหม่ที่สุดของแอปเปิล (life cycle) ของสินค้าตระกูล iPad/iPhone นั้นอยู่ที่ประมาณ 1 ปี ทว่างานเปิดตัว iPad 3 นั้นเพิ่งจัดไปในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา (เจ็ดเดือนก่อน) ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเพราะเหตุใดแอปเปิลถึงตัด life cycle ของ iPad 3 เหลือเพียงเจ็ดเดือน
สิ่งที่ตามมาคือเสียงก่นด่าของลูกค้าที่เพิ่งซื้อ iPad 3 และกลายเป็นของตกรุ่นในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ต่างจากแนวทางของแอปเปิลแต่ก่อนที่ life cycle ของผลิตภัณฑ์ค่อนข้างนานเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น
ขณะทุกคนน่าจะกังวลในเวลานี้คืออายุของผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ๆ ที่สั้นลงอย่างเห็นได้ชัด – ไม่แน่ว่าแอปเปิลอาจนึกอุตริเปิดตัว iPhone ตัวต่อไปในไตรมาสแรกของปีหน้าก็เป็นได้!
ผมไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ เพราะเท่ากับเป็นการ "ถีบ" ผลิตภัณฑ์เก่า (ที่ยังไม่เก่า) ให้ตกเหวเป็นผลิตภัณฑ์ "เก่าตามวิธีการแบ่งรุ่น" ในทันที (ไม่นับอัพเดตซอฟท์แวร์ที่เแอปเปิลทำได้ดีกว่าผู้ผลิตรายอื่น)
ส่วนตัวมองว่าหลังจากนี้ต่อไปความคิดที่ว่า "ซื้อผลิตภัณฑ์แอปเปิลเก่าเร็ว" จะมีเยอะขึ้น (โดยเฉพาะกับผู้ถือครอง iPad 3) หาเป็นแบบนี้ไปนานๆ นั่นหมายถึงแอปเปิลกำลังสุูญเสียฐานลูกค้าที่ยอมจ่ายแพงเพื่อให้ได้ใช้นานๆ และหากยังเป็นอย่างนี้ต่อไปผมเชื่อว่าลูกค้าพร้อมจะย้ายไปใช้สินค้ายี่ห้ออื่นที่ถูกกว่า, ได้สเปคแรงกว่า และตกรุ่นช้ากว่า (ยกเว้น zealots อย่างเหนียวแน่นที่ให้ตายก็ไม่มีทางย้ายค่าย!)
ผมเชื่อวา่หากแอปเปิลแอบอัพเดตเงียบๆ แบบตอนที่อัพเดตชิปภายใน iPad 2 จะไม่มีกระแสด้านลบมากเท่านี้ครับ
หลังจากงานคืนนี้ผมเห็นแนวทางใหม่ของแอปเปิลอยู่สองทาง ได้แก่
หลังจากนี้เราอาจเห็นแอปเปิลทำตลาดแบบผู้ผลิตหลายๆ ราย (ซอยรุ่นให้เยอะขึ้น อายุความใหม่สั้นลง) ซึ่งส่วนตัวมองว่าแอปเปิลจะสูญเสียความเป็น "แอปเปิล" ไปหากทำแบบนี้
เราต่างเห็นนักวิเคระห์บอกว่าแอปเปิลมีระบบจัดการที่ดีมาก ขายของน้อยรุ่น คนซื้อเยอะและพอใจ ได้กำไรดี – แถมบอกด้วยว่าหลายบริษัทควรใช้วิธีแบบนี้มากกว่าซอยรุ่นเยอะๆ ให้ตรงใจคนมากที่สุด แต่ทุกอย่างตรงกันข้าม แอปเปิลเลือกที่จะซอยรุ่นให้เยอะขึ้น และลด life cycle ของผลิตภัณฑ์ให้สั้นลงเกือบครึ่ง!
วินาทีนี้หลายคนเริ่มออกมาฟันธงอนาคตของแอปเปิลกันแล้ว ซึ่งจะแม่นหรือไม่ก็คงไม่มีใครรู้
ถึงวันนั้นคงต้องรอดูอีกทีครับ