รีวิว Apple iPod nano รุ่นที่ 7

by inkirby
17 November 2012 - 07:03

iPod nano รุ่นที่ 7 นี้ ถือเป็น iPod nano รุ่นแรกที่ Apple เปิดตัว หลังจากที่ Tim Cook ขึ้นเป็น CEO ของ Apple ด้วยรูปลักษณ์แล้วมันมีลักษณะย้อนกลับไปหารุ่นเก่าๆ ซึ่งแตกต่างไปจากรุ่นที่ 6 อย่างชัดเจน (รุ่นที่ 6 ทำออกมาในขนาดเล็ก รูปแบบเหมือนกับนาฬิกาข้อมือจนถึงขนาดมีบริษัทต่างๆ ทำสายรัดนาฬิกาออกมาวางขาย)

บางคนบอกว่ามันคือ iPod touch ขนาดจิ๋วที่ไม่ได้ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS เสียด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะหน้าตาที่คล้ายคลึงกัน ฟีเจอร์การเล่นไฟล์วิดีโอที่กลับมาอีกครั้ง และหน้าจอ multi-touch

สเปก

จริงๆ แล้วเนื่องจาก iPod nano นั้นเป็นอุปกรณ์ที่รันซอฟต์แวร์เฉพาะของตัวมัน อาจจะไม่ต้องใส่ใจสเปกมากก็ได้ แต่ขอเขียนถึงเพื่อเป็นรายละเอียดเอาไว้ด้วยครับ

  • หน้าจอขนาด 2.5 นิ้ว ความละเอียด 240 x 432 พิกเซลที่ 202 PPI
  • กว้างยาวสูง 39.6 มม. x 76.5 มม. x 5.4 มม.
  • น้ำหนัก 31 กรัม
  • มี Bluetooth 4.0 ในตัว มาซะที!
  • Accelerometer
  • หน่วยความจำ 16 GB (มีความจุเดียวให้เลือก)

รายละเอียดอื่นๆ ดูได้ที่นี่ครับ

หน้าตา

ต้องบอกว่า iPod nano รุ่นที่ 7 เป็นรุ่นที่ Apple เลือกที่จะกลับไปใช้เค้าโครงเดิม (ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า) แทนการใช้สี่เหลี่ยมจัตุรัสแบบในรุ่นก่อนหน้า และยังเอาคลิปหนีบด้านหลังออกด้วย

ด้านหน้ามีปุ่ม home มีสัญลักษณ์กลางปุ่มเป็นรูปวงกลม แตกต่างจากอุปกรณ์ iOS ที่กลางปุ่มจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขอบมน รวมเข้ากับหน้าจอ multi-touch แบบ wide screen เพื่อใช้ในการควบคุมแทน click wheel ในรุ่นก่อนๆ

ด้านบนตัวเครื่องมีปุ่ม power/sleep/wake แน่นอนว่าใช้เปิดและปิดหน้าจอ รวมทั้งเปิดและปิดเครื่องครับ... (แหงล่ะ)

ดูกันใกล้ๆ กับขอบของตัวเครื่องที่ถูกลบมุมในลักษณะเดียวกันกับ iPhone 5 ขัดเงาได้สะท้อนแสงดีมาก

ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มเพิ่มลดเสียง หน้าตาและลักษณะการทำงานเหมือนกับ EarPods with Remote and Mic เป๊ะๆ

ด้านล่างมีพอร์ตหูฟังมาตรฐาน 3.5 มม. พอร์ตใหม่ Lightning (ที่เสียบง่ายแต่ถอดยาก) สำหรับชาร์จและซิงค์กับ iTunes ตรงกลางเป็นพลาสติกสีเดียวกับหน้าเครื่อง เป็นช่องส่งสัญญาณของ Bluetooth

ด้านหลังมีโลโก้ Apple และ iPod ขัดเงาอยู่บน anodized aluminum ที่ทำหน้าที่เป็นชิ้นส่วนหลักของตัวเครื่อง

เทียบขนาดกับรุ่นก่อนหน้า จะเห็นว่ามันยาวขึ้นประมาณเท่าตัว ถ้าไม่สนใจคลิปหนีบจะหนาใกล้เคียงกันมาก

ซอฟต์แวร์และฟีเจอร์

หน้าตา home screen มีความคล้ายคลึงกับ iOS เพียงแค่เปลี่ยนไอคอนเป็นวงกลม แทนที่จะเป็นสี่เหลี่ยมครับ ตัว iPod nano นี้ไม่สามารถลงแอพพลิเคชั่นอะไรเพิ่มเติมได้เลย มีเพียงแค่ Voice Memos ที่จะโผล่ขึ้นมาบนหน้าจอเมื่อเราเสียบไมค์หรือหูฟังที่มีไมค์เท่านั้น

การฟังเพลงก็ทำเหมือน iPod ทั่วไป คือแตะเข้าไปที่ Music แล้วเลือกเพลงหรือ playlist ที่ต้องการ มันก็จะเล่นให้ทันที เมื่ออยู่ในหน้า now playing สามารถแตะที่รูปปกเพลง 1 ครั้งเพื่อเรียกแถบควบคุมเพิ่มเติมเช่น repeat, shuffle, genius หรือแถบเวลาเพื่อเลื่อนตำแหน่งเพลง มีฟีเจอร์ shake to shuffle ติดมาด้วย

ฟีเจอร์ที่ถูกใส่กลับเข้ามาอีกครั้งหลังจากหายไปในรุ่นที่แล้วคือวิดีโอนั่นเอง ทดสอบดูแล้วหน้าจอชัดใช้ได้ครับ แต่ด้วยความที่หน้าจอมันค่อนข้างเล็ก ผมก็ไม่ทราบว่าจะสามารถเพ่งดูได้นานขนาดไหน? (ไม่เคยใช้ iPod nano รุ่นเก่าๆ ครับ...) ระหว่างที่เล่นวิดีโอสามารถแตะที่หน้าจอเพื่อเรียกแถบควบคุมที่หน้าตาคล้ายๆ iOS ขึ้นมาได้

ฟีเจอร์การดูภาพนั้นถือว่าใช้งานได้ดี เพราะสามารถทำ pinch to zoom ได้แล้วในรุ่นนี้ และสามารถใช้ accelerometer เพื่อเอียงสลับระหว่างแนวนอนและแนวตั้งระหว่างดูภาพได้ มี slide show ในตัวแต่มี transition แค่ dissolve อย่างเดียวเท่านั้น แถมจอเล็กนิดเดียวคงไม่สะดวกเท่าไหร่

เมื่อแตะเข้าไปที่ Fitness ก็จะเจอกับฟีเจอร์ที่เคยเรียกว่า Nike+iPod และต้องใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อวัดจำนวนก้าวในการเดินหรือวิ่ง แต่ใน iPod nano รุ่นที่ 7 นี้ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมมาต่อเพิ่มแล้ว เพราะตัวมันเองใช้ accelerometer ในการนับก้าวแทนเรียบร้อย

เบื่อจากฟังเพลงในคลังของตัวเองก็ให้แตะไปที่ Radio เพื่อฟังเพลงจากวิทยุ FM ครับ เลื่อนแถบด้านล่างเพื่อปรับหาคลื่นที่อยากฟังได้เลย แตะปุ่มดาวเพื่อบันทึกสถานีที่ชอบเอาไว้ได้ แถมมีอีกฟีเจอร์หนึ่งที่ผมชอบมาก นั่นคือ live pause ซึ่งช่วยให้เรากดหยุดแล้วกลับมาฟังต่อจากที่หยุดเอาไว้ได้ แตะที่หน้าจอ 1 ครั้งเพื่อเรียกการควบคุมเพิ่มเติมเกี่ยวกับ live pause ครับ

ที่จริงแล้วนาฬิกานี่เป็นฟีเจอร์ที่ผมคิดว่าเด็ดที่สุดของรุ่นที่แล้วครับ พอข้ามมารุ่นนี้ก็มีติดมาให้เหมือนกับให้รู้ว่ามีเฉยๆ ซะงั้น มีหน้านาฬิกาให้เลือกแค่ 6 หน้า และโทนสีจะเป็นไปตามสีของเครื่องครับ นอกนั้นก็เป็นนาฬิกาจับเวลา ทั้ง stopwatch และ countdown

ฟีเจอร์การอัดเสียงเก็บไว้ก็น่าจะใช้ประโยชน์ได้ไม่น้อยสำหรับคนที่อยากหาอุปกรณ์บันทึกเสียง (แต่ต้องซื้อไมค์หรือหูฟังที่มีไมค์เพิ่มเอาเอง) แน่นอนว่าระยะเวลาที่จะสามารถอัดเสียงเอาไว้ได้นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนเพลง รูปภาพ และวิดีโอในเครื่อง

เข้าสู่หน้า Setting ก็จะเจอกับหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ นั่นก็คือ Bluetooth นั่นเองครับ เชื่อมต่อได้กับหูฟังหรือลำโพง A2DP ทุกตัว ถ้าติด paring code ก็จะมีตัวเลขโผล่ขึ้นมาให้กดรหัสนั้นครับ ส่วนการตั้งค่าอื่นๆ ก็มีตั้งค่าทั่วไป ตั้งค่าเกี่ยวกับเพลง วิดีโอ วิทยุ และภาพครับ (ภาพพื้นหลังมีมาให้น้อยมาก แถมเกือบทั้งหมดเป็นสีเดียวกับตัวเครื่อง และแน่นอนว่าเราไม่สามารถใช้รูปของเราเองตั้งเป็นภาพพื้นหลังได้ครับ...)

สรุป

จุดเด่น

  • เบามาก
  • สีใหม่สวยสด
  • ตัวเครื่องดูทนทาน
  • ฟังเพลงได้นาน ถ้าฟังเพลงวันละ 3 ชั่วโมงก็ยังอยู่ได้เป็นสัปดาห์
  • ภาษาไทยหายห่วง voice over พูดไทยคล่องแคล่ว แม้กระทั่งชื่อเพลงและศิลปิน

จุดด้อย

  • สาย Lightning เสียบง่าย แต่ถอดยาก ทั้งฝั่ง Lightning และฝั่ง USB
  • ฟังเพลงได้นานจริง แต่ดูวิดีโอไม่นานแบตเตอรี่ก็หมด...
  • เลือกเครื่องสีอะไรก็ต้องอยู่กับสีนั้นไปตลอดอายุการใช้งาน ไม่ว่าจะนาฬิกาหรือภาพพื้นหลัง (หวังว่าจะมีอัพเดต...)
  • ไม่มีคลิปหนีบเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า พกพายากขึ้นเล็กน้อย
  • ต้องทำใจเรื่องการ personalize ไว้ด้วย

มีอยู่หนึ่งเรื่องที่ผมจะไม่พูดถึงเลยคือ “คุณภาพของเสียง” ครับ แนะนำว่าให้ลองคว้าหูฟังอันโปรดไปลองที่ร้านเอาเอง เพราะหูคนเราไม่เหมือนกัน และความชอบก็ไม่เหมือนกันด้วย

เทียบขนาด Lightning กับ 30-pin ตัวเก่าครับ เล็กลงมากๆ

แถมภาพสุดท้าย เทียบ iPod nano รุ่นที่ 7 กับแบตเตอรี่ขนาด AA

iPod nano รุ่นที่ 7 วางขายในประเทศไทยและบน Apple Store Online กันอย่างหลากสีสันในราคา 5,500 บาทครับ ผมว่าเหมาะสำหรับคนที่อยากได้อุปกรณ์ฟังเพลงและดูวิดีโอที่น้ำหนักเบา พกง่าย เอาไว้อัดเสียงสนทนาต่างๆ หรือจะซื้อไว้ติดรถเพื่อเป็นเครื่องเล่นเพลงในรถก็โอเค แต่ในรถบางรุ่นอาจจะต้องซื้อหัวแปลงเพิ่มหากสายเป็น 30-pin ครับ

Blognone Jobs Premium